เหตุการณ์ผ่านไปอีก20ปี(อีกแระ)ทั้งท้าว ทิตราชย์ตาบอดโอรสองค์โตกับท้าวปาณฑุโอรสองค์น้องที่กายขาวซีด(แบบคนเผือกใน ปัจจุบัน)ทั้งสองได้เติบใหญ่วันฉกรรจ์เพื่อนๆเดาได้มั๊ยครับว่าใครจะได้ขึ้น ครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งหัสตินปุระ ....ท้าวปาณฑุผู้น้องครับเหตุเพราะว่าท้าวทิตราชย์นั้นตาบอดนั่นเอง คือมีร่างกายไม่สมประกอบล่ะว่าง่ายๆ
ท้าวปาณฑุเลยขึ้นครองราชย์แทนพี่ ชาย ครั้งต่อมาท้าวปาณฑุได้อภิเษกสมรสมีพระมเหสีด้วยกันสองพระองค์ เบื้องขวาคือพระนางกุณตี เบื้องซ้ายคือพระนางมัทรี เรื่องยุ่งๆมันเกิดตอนที่ท้าวปาณฑุนั้นออกเสด็จประพาสป่ากับพระมเหสีทั้งสอง ในระหว่างที่เสด็จประพาสป่าล่าสัตว์ก็ได้เห็นกวางตัวผู้กับกวางตัวเมียกำลัง โยก โยก โยก กันอยู่ ท้าวปาณฑุก็ไม่พูดพล่าม(คน)ทำเพลงกันล่ะ พาดธนูน้าวศรปรับศูนย์เล็ง เหนี่ยวโป้ง ทะลุสอง กวางทั้งสองก็ได้คืนร่างกลายมาเป็นพราหมกับพราหมณี(พราหมผู้ชายกับพรา หมผู้หญิง-สงสัยจะแสวงหาอะไรใหม่ๆให้ชีวิตคู่ )
พรา หมผู้ชายก็ได้กระอักออกมาว่า " ฉันเหมือนคนไม่มีกำลัง และหมดแรงจะยืนจะลุกจะเดินไป ฉันเหมือนคนกำลังจะตาย ที่ขาดอากาศจะหายใจ ฉันเหมือนคนที่โดนเธอแทงข้างหลัง แล้วมันทะลุถึงหัวใจ เธอจะให้ฉันมีชีวิตต่อไปหยั่งรายยยยยยยย" .......555 ไม่ใช่ครับอ่ะ อ่ะ ล้อเล่งงงงน๊า
พราหมผู้ชายก็ได้กระอักออกมาว่า " แม้นแต่ว่าเราซึ่งเป็นสัตว์ มนุษย์ก็ยังกระหายเลือด พระองค์ทรงทำแบบนี้ได้อย่างไร "
ท้าวปาณฑุก็บอกว่า " การล่าสัตว์นั้นถือว่าเป้นราชย์กรีฑาเป็นกีฬาอภิสิทธิ์ของกษตัริย์ทั้งหลายทั้งปวง ทำไมเราจะทำไม่ได้ "
ผ่าย พราหมไม่ยอม บอกว่า " ข้าเองไม่เคยไปล่วงละเมิดอะไรท่าน ท่านมาทำกับข้าแบบนี้ไม่สมควร ในฐานะที่ข้าเป็นพราหมข้าขอสาปแช่งท่าน ยามใดที่ที่กำลังสมสู่ตอนนั้นแหล่ะมัจจุราชจะมาเยือนท่าน ไม่ว่าทานจะสมสู่กับมเหสีคนไหนก็ตาม ....อั่กกก อ่ะเห่อะ บัดโซ๊บบบ" แล้วพราหมทั้งคู่ก็ตาย
ท้าวปาณฑุก็เสด็จกลับแค๊มป์แล้วก็ทรงเล่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพระมเหสีทั้งสอง ก็เลยคิดว่าออกบวชเข้าป่าบำเพ็ญศีลตบะเพื่อไถ่โทษดีกว่า พระนางทั้งสองจึงเดินทางออกบวชไปด้วยกันทั้งสามคน ดังนั้นท้าวทิตราชย์น้องผู้ตาบอดก็จึงต้องขึ้นครองราชย์แทนพี่ชาย คราวนี้พอท้าวปาณฑุไปอยู่ในป่าก็มีปัญหาเหมือนกันคือไม่สามารถมีลูกได้ เปรียบไปก็เหมือนตาลยอดด้วน ไม่สามารถออกดอกออกผลได้ก็เผอิญว่าพระนางกุณตีสมัยสาวๆนี่เคยรับใช้ฤาษี รับใช้เป้นอย่างดีจนฤาษีสอนวิชาให้เป็นวิชามนต์เรียกเทวดาได้ก็เลยจะขอเรียก เทวดามาเป็นพ่อเด็กแทน พระนางมัทรีก็บอกว่าถ้าทำได้ตนก็จะขอให้เทวดามาเป้นพ่อของลูกด้วยเช่นกัน
พระ นางกุณตีก็จัดการร่ายมนต์แล้วก็ถามท้าวปาณฑุว่าต้องการจะให้เรียกเทพองค์ใด เป็นองค์แรก ท้าวปาณฑุก็บอกว่าอันดับแรกให้เชิญ ธรรมเทพ ธรรมเทพก็มาปรากฏตัวแล้วก็ประทานลูกให้หลังจากนั้นท้าวปาณฑุก็บอกว่าอยากมี ลูกอีกสักคนจึงได้ให้เชิญ วายุเทพหรือเทพแห่งลมมา หลังจากนั้นก็เชิญ อินทรเทพ (อิน-ทะ-ระ-เทบ หรือ พระอินทร์) มาให้กำเนิดพระโอรสอีกคนหนึ่ง
เสร็จ แล้วพระนางมัทรีเมียคนที่สองก็ขอร้องให้พระนางกุณตีสอนมนต์ให้บ้างเพราะเธอ ก็อยากมีลูกเหมือนกันหลังจากที่สอนมนต์เสร็จพระนางมัทรีจึงได้ เทพอัศวิน เป็นเทพแฝดมี5ตา หัวเป้นม้า ก็เลยได้ลูกแฝด2คน
สรุปพระนางทั้งสองก็ มีลูกกัน5คนโดย3คนแรกเกิดจากพระนางกุณตีกับเทพ3องค์ คือ ธรรมเทพ วายุเทพ และพระอินทร์ ตามลำดับส่วนพระนางมัทรีก็มีลูกแฝดกับ อัศวินเทพแฝด
ซึ่งโอรสทั้ง5ของท้าวปาณฑพก็ประกอบไปด้วย
1.ยุษฐิษฐีระ(ยุด-ทิด-ที-ระ) ซึ่งเป็นโอรสของธรรมเทพ จึงมีนิสัยยึดมั่นในสัจจะพูดคำไหนคำนั้น
2.ภีมะหรือภีมะเสน ซึ่งเป็นบุตรของวายุเทพ นัยตามศักดิ์จริงๆแล้วภีมะนี่ถือว่าเป็นน้องของหนุมานเพราะมีพ่อคนเดียวกันคือวายุเทพ
3.อรชุน (ออ-ระ-ชุน) ซึ่งเกิดจากพระอินทร์ คนนี้นี่สุดยอดเก่งโคตรครับ
4.นกุล
5.สหเทพ
โอรสทั้ง5ของท้าวปาณฑุก็เรียกกันว่าพี่น้องตระกูลปาณฑพครับ
ข้าม มาฝั่งยังพระราชาทิตราชย์ พระราชาตาบอดผู้น้องได้มั๊ยครับพระองค์ก็ได้อภิเษกกับพระนางคานธาลีซึ่งเป็น น้องสาวของ สัตยามหาราชผู้ครองแคว้นมัณฑะละ พระนางคาธาลีก่อนจะเข้าพิธีสยุมพรนั้นได้รับการสู่ขอแบบไม่เคยเห็นหน้าค่าตา กันมาก่อน พระนางคานธาลีจึงได้ให้นางข้าหลวงเอาของไปถวายกับท้าวทิตราชย์พอนางข้าหลวง กลับมาก็ร้องห่มร้องไห้พระนางคานธาลีก็งงจึงถามว่าเป็นอะไรทำไมจึงร้องห่ม ร้องไห้ขนาดนี้ นางข้าหลวงก็บอกว่า " ข้าไปที่วังของท้าวทิตราชย์มา ข้าพระองค์เห็นท้าวทิตราชย์ ท้าวทิตราชย์นั้นสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดีหากแต่ว่าพระองค์นั้นตาบอด!!! "
พระ นางคานธาลีนั้นก็ตกใจถามว่าเป้นไปได้ยังไง มหาราชย์จะตาบอดได้อย่างไร นางข้าหลวงจึงบอกว่าข้าได้ถามมหาดเล็กแล้ว มหาดเล็กบอกว่าพระราชาทิตราชย์นั้นตาบอดมาตั้งแต่เกิด พระนางคานธาลีก็เกิดอาการเซ็งเป็ด ชาวหัสตินปุระนี่หลอกเราซะแล้ว พระนางก็เลยตั้งปฎิธานโดยจะเอาผ้าปิดตาไปตลอดชีวิตแล้วก็เข้าพิธีอภิเษกกับ พระราชาทิตราชย์ เมื่อท้าวทิตราชย์กับพระนางคานธาลี คิมูจิ๊กันแล้วพระนางคานธาลีก็เกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา แต่ครรภ์ของพระนางไม่ธรรมดา เพราะมันใหญ่โตมากท้องอยู่2ปี
พระ นางคานธาลีก็เลยสั่งให้นางข้าหลวงเอาฆ้อนเหล็กทุบไปที่ท้องพร้อมกับบอกว่า นี่เป็นวิธีช่วยให้ประสูติการ นางข้าหลวงก็ซัดโครมเข้าที่ครรพ์ของพระนางคานธาลี ทีแรกยังไม่ออก ซัดต่ออีกสองที จนในที่สุดพระนางคานธาลีก็คลอดออกมาเป็นก้อนเนื้อก้อนเบ้อเร่อเลย
พระนาง คานธาลีก็ถามว่าเป้นไงมั่ง นางข้าหลวงก็บอกว่าทรงคลอดออกมาเป้นก่อนเนื้อแข็งมาก และเย็นเฉียบ พระนางคานธาลีจึงรับสั่งให้เอาก้อนเนื้อนั้นไปทิ้งสระ
พอนางข้าหลวง จะเอาก้อนเนื้อไปทิ้งสระก็ได้มีฤาษีเข้ามาขวางแล้วบอกว่า หยุดก่อนไม่ต้องตกใจ ยังไม่ต้องเอาไปทิ้งให้เอาก้อนเนื้อนั้นเอามาแล่เป้นชิ้นๆ 100 ชิ้น เอาชิ้นแต่ละชิ้นไปใส่หม้อดินแล้วเอาน้ำบริสุทธิ์พรมลงไป ก้อนเนื้อทั้งร้อยชิ้นก็จะกลายเป้นกุมาร เท่ากับว่าพระนางคานธาลีนั้นท้องอยู่2ปีพอคลอดทีนึงก็มีลูกร้อยคนแบ่งภาค เป็นโปรโตซัวเลย ลูกคนแรกที่คลอดนั้นพอเกิดมา หมาหอนทั้งเมืองแร้งการ้องลั่นพระนคร
กุมาร องค์โตนี้ ชื่อ ทุรโยชน์ ซึ่งยากที่ใครจะเอาชนะได้ ท้าวทิตราชย์ได้ยินเสียงนกกาแร้งหมาร้องลั่นระงมทั้งเมืองก็ตกใจวิ่งไปถาม ท้าวภีษมะผู้เป็นลุงว่า เกิดอะไรขึ้น ท้าวภ๊ษมะก็บอกว่านี่เป็นเหตุอุบาทว์ของลูกชายเจ้าซึ่งเกิดมาพร้อมกับความ จัญไร นำมาซึ่งเสนียดแก่หัสตินปุระ ภีษมะจึงบอกให้ท้าวทิตราชย์เอาลูกไปฆ่าทิ้งเสียทั้งหมด แต่ท้าวทิตราชย์กับพระนางคานธาลีไม่ยอมจึงฝืนเลี้ยงโอรสทั้ง100 คนเรื่อยมา
พี่น้องทั้ง100คนนั้นก็คือ พี่น้องตระกูลเการพ นั่นเอง
สำหรับ ลูกชายทั้ง5ของท้าวปาณฑุนั้นก็ได้ถูกอัญเชิญกลับเข้ามาในวังโดยกลับมาพร้อม กับพระนางกุณตีมเหสีคนแรกเพื่อนที่จะได้มาดูแลลูกทั้ง5 สำหรับท้าวปาณฑุก็อยู่ป่ากับพระนางมัทรี คืนหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ อากาศยามค่ำคืนเป็นใจเสียเหลือเกิน ท้าวปาณฑุก็เริ่มเขี่ยบอลบอกกับพระนางมัทรีว่า "คืนนี้พี่ขอ" พระนางมัทรีก็บอกว่าลืมไปแล้วหรือว่าพระองค์ถูกพราหมสาปไว้ ว่าถ้าคิมูจิ๊เมื่อไหร่พระองค์จะต้องตาย ท้าวปาณฑุก็บอกว่าข้ารู้แต่เมื่อเห้นน้องในยามนี้ข้าต้องการความสุขจากรสรัก มากกว่าจะมีชีวิตอยู่ ไม่อะไรเกิดขึ้นหรอกอย่าห่วง ท้าวปาณฑุระหว่างที่กำลังคิมูจิ๊นั้นก็ตายตามคำสาปของพราหม พระนางมัทรีก็เลยทำ พิธีสตี คือโดดเข้ากองไฟตายตาม
ตอนนี้ในหัสตินปุ ระนั้นก็เต็มไปด้วยโอรสของท้าวทิตราชย์กับพระนางคานธาลี 100 คนกับโอรสของท้าวปาณฑุกับพระนางกุณตีและมัทรีอีก5 คน วิ่งกันในวังให้เจี๊ยวจ๊าวไปหมด ซึ่งเหตุการณ์ต่อไปก็จะเริ่มเป็นความขัดแย้งของทั้งสองตระกูลในเวลาต่อมา
ท้าวทรุโยชน์จากบทละคร
Asd
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552
มหากาพย์ มหาภารตะ กำเนิดเจ้าชาย
ป้ายกำกับ:
กำเนิดเจ้าชาย,
ธรรมเทพ,
พระอินทร์,
มหากาพย์ มหาภารตะ,
วายุเทพ,
อรชุน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น