Asd

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

มหากาพย์ มหาภารตะ

มหาภารตะ นับเป็นหนึ่งในสองของมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ของอินเดีย อีกเรื่องคือ รามายณะ โดยประพันธ์เป็นโศลกภาษาสันสกฤต

ตาม ตำนานเล่าว่าผู้แต่งมหากาพย์เรื่องนี้คือ ฤๅษีกฤษณะ ไทวปายนะ วยาสะ นับเป็นมหากาพย์ที่ยาวที่สุดในโลก มีเนื่อหาซับซ้อน เล่าเรื่องอันยืดยาวที่เกี่ยวข้องกับปกรณัม และหลักปรัชญาของอินเดียโบราณ ทั้งนี้ยังมีเรื่องย่อยๆ แทรกอยู่มากมาย เช่น ภควัทคีตา ทมยันตี ทั้งนี้ ถือว่าเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญของศาสนาฮินดูด้วย

ใน ภารตะนี้จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับมหาสงครามใน ชมพูทวีประหว่างฝ่ายพี่น้อง เการพ (มาจากคำว่า กุรุ) กับฝ่ายพี่น้อง ปาณฑพ (อ่านว่า ปาน-ดบ มาจากชื่อ ปาณฑุ ผู้เป็นบิดา)

เรื่องราวของมหากาพย์มหาภารตะนี้จะเป็นเช่นไร ขอจงติดตามได้ ณ บัดนี้


บรรพ์ที่1 อาทิบรรพ - บทนำ การกำเนิดเจ้าชายต่างๆ

ย้อน ไปเมื่อสมัยนานมาแล้วมีพระราชพระองค์หนึ่งซึ่งชอบล่าสัตว์มากได้ออกประพาส ป่าล่าสัตว์ครั้งพอตอนกลางวันล่าสัตว์อย่างเหนื่อยอ่อน ตกตอนกลางคืนเวลาบรรทมก็ได้ทรงพระสุบิน(ฝัน)ว่าได้มาsomethingหรือกามกรีฑา กับพระมเหสีซึ่งในฝันนั้นพระองค์ทรงแช่มชื่นมาก
จนกระทั่งถึงจุดสุดยอดเลย เรียกภาษาบ้านๆว่าฝันเปียกนั่นแหล่ะครับ

พอ ทรงตื่นขึ้นมาพบคราบอสุจิของตัวเองบนใบไม้ก็สั่งให้ขุนนางบอกว่า"เจ้าจงเอา อสุจินี้ไปให้มเหสีของข้า" แต่ขุนนางนั้นถ้าจะเดินทางไปส่งเองก็อาจจะช้าจึงได้ใช้บริการAir mail ส่งทางอากาศคือเรียกพญาเหยี่ยวให้เอาอสุจินี้ไปให้พระมเหสีที่พระราชวัง แต่ระหว่างทางพญาเหยี่ยวเกิดเจอกับพญานกใหญ่จึงได้ไล่จิกไล่ตีกันจนทำให้น้ำ อสุจินั้นหล่นลงไปในน้ำพอหล่นลงไปปลาก็มาตอดกินซึ่งปลาตัวที่ตอดกินอสุจิไป นั้น ก็เกิดอาการตั้งท้องขึ้นมา

ต่อมาปลาตัวนั้นก็ถูกชาวประมงจับไป เลี้ยง เลี้ยงไปเลี้ยงมาปลาก็โตขึ้น โตขึ้น เด็กในท้องก็โตตามตัวปลา พอมาวันนึงชาวประมงจะเอาปลาไปทำอาหารครั้นเมื่อผ่าท้องปาออกมาก็ได้เจอกับ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในท้องปลาตัวนั้น ชาวประมงจึงรับเอาเด็กผู้หญิงเป็นลูกด้วยความรักแต่มีลักษณะประหลาดอยุ่ อย่างนึงคือเด็กคนนี้แม้ว่าตัวเป็นคน หน้าตาสวยสด แต่มีกลิ่นคาวปลาแรงมากจนไม่มีใครมาจีบ

ครั้นเมื่อกุมารีคนนี้โตขึ้น จึงได้ชื่อว่า สัตยวดี วันนึงมีฤาษีองค์หนึ่งชื่อ ฤาษี ปราษร(ปะ-รา-สอน)ได้พายเรือมาริมฝั่งทะเลบริเวณที่ชาวประมงกับนางสัตยวดี อาศัยอยู่พอฤาษีได้รู้เรื่องจึงได้บอกกับ สัตยวดีไปว่า ถ้ายอมร่วมสังวาสกับตนกลิ่นกายของนางจากเหม็นคาวปลาจะปลิ่นเป้นหอมหวลทันที คราวนี้นางสัตยวดีต้องตัดสินใจว่าจะเอาไงดี คิดไปคิดว่าเอาวะไหนๆก็ไหนๆแล้วคงไม่เป็นไร ก็ตกลงปลงใจมีsomethingกับฤาษี พอมีกุบกิบคิมูจิ๊กับฤาษีปราษรแล้วก็ได้อยู่กินกันมาได้ระยะหนึ่งแล้วฤาษี ปราษรก็จากไปนางสัตยวดีจึงได้เดินทางกลับหมู่บ้านที่ตนอาศัยอยู่ กลิ่นนางจากเดิมที่เหม็นก็กลายเป็นหอมแถมนางยังตั้งครรภ์จนคลอดเด็กออกมาเป้ นผู้ชายชื่อ วยาส(วะ-ยาด)หรือ(วะ-ยา-สะ)


ตัดภาพมาอีกเมืองหนึ่ง ชื่อเมือง หัสตินปุระ(หัด-สะ-ติน-ปุ-ระ) มีท้าวศานตนุ(สาน-ตะ-นุ) มหาราชย์ครองนครนี้อยู่ มาวันนึงพระองค์ได้เดินทางเสด็จมายังริมฝั่งน้ำจนได้พบกับนางอัปสรคนหนึ่ง ซึ่งสวยมากจนรู้สึกปิ๊งขึ้นมาทันทีแต่พระองค์ไม่รู้ว่า นางอัปสรนั้นคือพระแม่คงคา พอท้าวศานตนุเห็นจึงขอเอ่ยปากแต่งงานกับนาง แต่นางอัปสรนั้นมีข้อแม้กับศานตนุ3ข้อซึ่งถ้าท้าวศานตนุให้คำสัตย์กับเธอได้ เธอจะยอมอยู่กินด้วย โดยคำขอทั้งสามคือ

1.ขออย่าทรงขัดขวางอะไรที่นางทำ แม้ว่าไม่เห้นด้วยก็ตาม
2.อย่าโกรธในสิ่งที่นางทำลงไป
3.อย่าถามหาเหตุผลในสิ่งที่นางทำ

เมื่อ ได้ยินดังนั้นท้าวศานตนุก็บอกว่า okจัดให้ ไม่มีปัญหา ดังนั้นนางอัปสรดังกล่าวก็จึงตกลงไปอยู่กินกับท้าวศานตนุที่หัสตินปุระ ครบ9เดือนผ่านไปนางอัปสรซึ่งก็คือพระแม่คงคาได้ให้กำเนิดกุมาร คนแรก พอคลอดเสร็จนางอัปสรก็กอดลูกแล้วบอกว่า แม่รักลูกนะ พูดจบก็โยนลูกลงน้ำจนจมน้ำตาย ท้าวศานตนุทำอะไรไมได้เพราะได้ให้คำสัตย์กับนางอัปสรไว้แล้วพอปีต่อมานาง อัปสรก็ได้ให้กำเนิดกุมารอีกแล้วนางก็ทำแบบเดิม คือจับลูกที่เพิ่งเกิดโดยนถ่วงน้ำ

ทำ แบบนี้ปีแล้วปีเล่าถึง7ปี คือลูกตายไป7คนแล้ว จนย่างเข้าปีที่8พระแม่งคงคาก็จะทำเหมือนเดิม คราวนี้ท้าวศานตนุทนไม่ไหวแล้วก็ได้เอ่ยปากถามนางอัปสรไปว่า ทำไมเธอถึงทำแบบนี้ ทำไมถึงต้องฆ่าลูกของเราทุกครั้ง!!!!

นางอัปสร ที่แต่งงานกับท้าวศานตนุก็บอกว่า " จริงๆแล้วหม่อมฉันคือคงคา เทวีแห่งสายน้ำสิ่งที่หม่อมฉันทำลงไปนั้นไม่ได้ต้องการที่จะสังหารกุมารทั้ง 7หากแต่ว่าต้องการจะสงเคราะห์เพราะชาติก่อนกุมารทั้ง8นั้นเป็นเทวดา แต่ว่าเทวดาทั้ง8นั้นไปขโมยโคของฤาษีจนถูกสาปให่ลงมาเกิดที่โลกมนุษย์ หม่อมฉันเลยรับอนุเคราะห์ให้กำเนิดเทวดาทั้ง8เองคือเมื่อเกิดแล้วก็ฆ่าทิ้ง เสียเพื่อที่จะได้กลับไปเกิดยังสวรรค์ได้ทันที" แล้วพระนางคงคาก็ได้ทวงคำสัญญากับท้าวศานตนุว่า " พระองค์จำได้มั๊ยว่าทรงเคยสัญญาอะไรไว้ บัดนี้พระองค์ผิดคำสัญญา หม่อมฉันก็ขอลาพระองค์ซะทีซึ่งกุมารคนที่8นี้หม่อมฉันจะเอาลงไปเลี้ยงเอง " เสร็จแล้วนางก็เดินหายไปในสายน้ำ ...

20ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก 20ปีที่ท้าวศานตนุไมได้อยู่กินกับพระแม่คงคา วันดีคืนร้ายอะไรไม่ทราบได้ ขณะที่ท้าวศานตนุกำลังเสด็จอยู่ริมฝั่งน้ำก็ได้เกิดระลอกคลื่นยักษ์ขึ้นมา จากริมแม่น้ำ จากนั้นก็มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินขึ้นมา พระองค์ก็รู้ได้ด้วยสัญชาติญาณว่าชายหนุ่มคนนี้แหล่ะคือลูกของพระองค์ที่พระ แม่คงคาเอาไปชุบเลี้ยงที่บาดาลเมื่อ20ปีที่แล้ว แล้วผู้หญิงที่มาด้วยก็คือพระแม่คงคานี่เอง แล้วพระแม่คงคาได้บอกกับท้าวศานตนุขึ้นมาว่า มานพหนุ่มนี้คือลูกชายคนที่8ของพระองค์กับนางนั่นเอง

มานพหนุ่มนี้ ชื่อ ภีษมะ (พี-สะ-มะ) นางได้ให้ภีษมะร่ำเรียนสรพวิชาต่างๆโดยมีครูเป็นพระฤหัสบดี ทำให้ภีษมะเก่งเรื่องการรบมากและวันนี้เป็นโอกาสดีที่นางจะถวายลูกคืนแก่ พระองค์ ท้าวศานตนุได้ยินดังนั้นก็ดีใจพาภีษมะกลับบ้านกลับเมืองพร้อมทั้งได้จัดให้ มีงานเฉลิมฉลองเคาท์ดาวน์กันอย่างเอิกเกริก ค่ำคืนของงานเฉลิมแลองนั้นท้าวศานตนุก็ได้บอกกับภีษมะว่าต่อไปภายภาคหน้าจะ ให้ภีษมะขึ้นครองราชย์แทน

ท้าวความไปก่อนว่าช่วง20ปีที่ท้าวศานตนุ ครองตัวเป้นโสดมานี้ พระองค์ก็ไมได้มีsomethingกับใครหรือแต่งงานกับหญิงอื่นเพราะพระองค์เป็นคน รักเดียวใจเดียว จนกระทั่งวันนึงพระองค์ได้เดินทางผ่านแม่น้ำ(อีกแล้ว)แล้วได้กลิ่นหอม มมประหลาดอบอวลอยู่ก็ตามกลิ่นไปจนเจอหญิงสาวคนหนึ่ง จำได้ม๊ยครับว่าใคร ...... นางสัตยวดีเด็กหญิงในท้องปลาไงครับ

คราว นี้ท้าวศานตนุเกิดอดใจไม่ไหวห้ามอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ love at first smell ทีเดียว ถึงกับลงทุนคุกเข้าอ้วนอวนนางสัตยวดีว่าให้ไปอยู่กินกับกระองค์ที่วังเถิด ....คุณแม่ ของร้องงงงง
แน่นอนครับนางสัตยวดีไม่ใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือย มีทั้งลูก มีทั้งพ่อชาวประมง นางจึงบอกท้าวศานตนุไปว่า ให้ไปตกลงกับพ่อซึ่งเป็นชาวประมงเอาเองพ่อว่ายังไงนางก็จะทำตาม

user posted image
ท้าวศานตนุกับนางสัตยวดี(pic from wikipedia)

ท้าว ศานตนุได้ยินดังนั้นก็เดินทางไปหาพ่อของนางสัตยวดีซึ่งเป็นชาวประมงอยู่ พอเจอตัวก็ได้บอกไปว่าพระองค์ทรงต้องการนางสัตยวดีมาเป็นมเหสี ทางชาวประมงก็ได้บอกว่า ข้าพระองค์ก็ไมได้ขัดข้องอะไรแต่ข้าพระองค์จะขอคำสัตย์ซึ่งถือเป็นของหมั้น สักข้อนึง คือ บุตรที่ซึ่งเกิดกับนางสัตยวดีกับพระองค์ต้องขึ้นครองราชสมบัติ ท้าวศานตนุทรงได้ยินแบบนั้นก็ได้บอกว่าเราคงตกลงไม่ได้เพราะเราได้ให้คำ สัตย์ต่อภีษมะลูกเราไว้แล้วว่าจะให้ภีษมะครองราชย์ชาวประมงจึงบอกว่างั้น พระองค์ก็จงทรงกลับเมืองแล้วลืมนางสัตยวดีซะดีกว่า

ระหว่างที่กำลัง คุยกัน เจ้าชายภีษมะซึ่งได้ยินอยู่ก่อนแล้วก็ได้เดินเข้าไปบอกกับชาวประมงว่าให้ชาว ประมงยกลูกสาวให้ท้าวศานตนุเถอะ " เพื่อให้เสด็จพ่อมีความสุข ข้าจะปฎิญาณตนว่าถ้านางสัตยวดีมีบุตรขึ้นมาเราจะให้เป็นกษัตริย์แทนเรา" ชาวประมงก็ถามเจ้าชายภีษมะกลับว่า " ถึงพระองค์(ภีษมะ)จะไม่ขึ้นครองราชย์แต่เมื่อพระองค์ทรงมีโอรสแล้วพระองค์จะ ทำอย่างไร ถ้าพระโอรสของพระองค์ทรงเติบโตขึ้นแล้วต้องการจะครองราชย์ ใครจะกล้าขัดขวาง "

ภีษ มะก็บอกกับชาวประมงไปว่า " เราผู้มีนามว่าภีษมะขอปฎิญาณตนอีกว่า จะขอเสื่อมซึ่งสมรรถนะทางเพศจะเป็นเอกบุรุษ สละซึ่งความยินดีในสตรีเพศ " แนวๆว่าเป็นหมันกันเลยทีเดียว พอพูดเสร็จก็ได้เกิดเสียงแซ่ซ้องสาธุการมีดอกไม้โปรยปรายลงมาจากสวรรค์แสดง ให้เห็นว่า เทพดาต่างยกย่องภีษมะในการเสียสละครั้งนี้พร้อมทั้งให้พรว่า ตราบใดที่ภีษมะไม่ต้องการจะสิ้นพระชนม์ก็จะไม่มีใครมาฆ่าพระองค์ได้

เมื่อภีษมะให้คำสัตย์แบบนั้นชาวประมงก็ตกลงยกนาง สัตยวดีให้ท้าวศานตนุไปอยู่กินในราชวังดำเนินการผ่านไป20ปี พระราชาศานตนุได้มีลูก2คนกับนางสัตยวดี องค์แรกชื่อ จิตตรางคหะ องค์ที่สองชื่อ วิจิตรวีรยะ สำหรับจิตตรางคหะนั้นได้ขออาสาพระบิดาคือท้าวศานตนุไปสู้รบกับคนธรรพ์ต่อมา ได้สิ้นพระชนม์ในสนามรบ เจ้าชายวิจิตรวีรยะผู้น้องจึงขึ้นครองราชย์หลังจากที่ท้าวศานตนุสิ้นพระชนม์ แทน

ภาพตัดมายังแคว้นกาษี ซึ่งพระราชาแคว้นนี้มีลูกสาวด้วยกันสามคนคือ พระนางอำภา พระนางอำภิกา แล้วก็พระนางอำภาลิกา พระราชาอยากให้ลูกสาวได้แต่งงานซะทีจึงได้จัดพิธีรากษสวิวาหะ(ราก-สด -วิ-วา-หะ) คือเชิญเจ้าชายจากเมืองต่างๆมาทำศึกเพื่อแย่งนาง เรียกง่ายๆว่าจะยกลูกสาวให้กับคนที่เก่งที่สุด ทางแคว้นหัสตินปุระที่เจ้าชายวิจิตรวีรยะครองราชย์อยู่ก็จำต้องส่งคนไปทำศึก ด้วยแต่ติดที่ว่าเจ้าชายวิจิตรวีรยะนั้นยังอ่อนด้อยประสพการณ์ในการรบอยู่ ภาระหน้าที่จึงตกเป็นของท้าวภีษมะไปรบแทน ครั้นเมื่อไปรบภีษมะซึ่งเก่งกาจอยู่แล้วก็ได้ชนะในการรบ จึงต้องพาเจ้าหญิงทั้งสามกลับหัสตินปุระด้วย

แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเจ้า ชายภีษมะนั้นเคยให้คำสัตย์ไว้ว่าจะไม่แต่งงานแถมเจ้าหญิงอำภาลูกคนโตเองนั้น ก็มีคนรักอยู่แล้ว จึงได้บอกกับท้าวภีษมะว่า " เราจะขอกลับไปหาคนรักเดิม" เจ้าชายภีษมะก็ตกลงเพราะสงสาร ครั้นพอพระนางอำภากลับไปหาคนรักเดิมของตนแล้วบอกว่ากับเจ้าชายคนรักว่า " เจ้าชายภีษมะนั้นมอบอิสระให้แก่เราแล้วเรามาแต่งงานอยู่กินกันเถิด " ฝ่ายเจ้าชายคนรักเดิมก็บอกว่า " เราพ่ายแพ้ในการทำศึกแล้วคงจะแต่งกับนางไม่ได้เพราะเสมือนว่าเราไม่มี เกียรติ แพ้ก็คือแพ้ ขอให้พระนางอำภาลืมตนซะแล้วกลับหัสตินปุระไปหาเจ้าชายภีษมะดีกว่า "

เอาล่ะสิ ทำไงดีหว่า พระนางอำภาจึงต้องกลับไปหาท้าวภีษมะอีกครั้งแล้วบอกว่าเจ้าต้องรับผิดชอบเรา ด้วยการแต่งงานเพราะคนรักเก่าของเราไม่สนใจใยดีเราแล้ว ส่วนฝ่ายท้าวภีษมะนั้นก็เคยได้ให้คำสัตย์ไว้แล้วว่าจะไม่แต่งงานก็ไม่ยอม พระนางอำภาก็โกรธมากเพราะจะเมืองไหนก็ไม่มีใครรับ พระนางจึงตัดสินใจออกจาริกแสวงบุญพร้อมทั้งกับตั้งสัตย์ไว้ว่าจะหาคนมาฆ่า ท้าวภีษมะให้ได้ พระนางบำเพ็ญตนอยู่บนเทือกเขาหิมาลัยจนตัวเป้นน้ำแข็ง สุดท้ายก็โดดเข้ากองไฟตาย

แถมช่วงนี้หัสตินปุระซึ่งปรกครองโดยพระ ราชาวิจิตรวีรยะนั้นกลับมาสิ้นพระชนม์เอาแต่อายุยังน้อยท้าวภีษมะจะขึ้นครอง ราชย์เองก็ไม่ได้จึงต้องจัดพิธีนิโยก คือหาคนมามีคิมูจิ๊ เพื่อให้เกิดลูกก็คิดกันไปคิดกันมาไม่รู้จะเอาใครมามีsomething ดีเพราะถ้าเอาคนนอกวงศ์มาก็ไม่ได้ จนกระทั่งคิดได้ว่าพระนางสัตยวดีแม่เลี้ยงของภีษมะนั้น ครั้งนึงเคยมีลูกกับฤาษี ลูกคนแรกของนางสัตยวดีนั้นคือ วยาส ซึ่งไปบำเพ็ญตนเป็นฤาษีก็เลยตกลงว่าให้ฤาษีวยาสนี่ทำพิธีนิโยกสมสู่ พระนางอำภาลิกาและพระนางอำภิกาแทน

โดยให้พระนางอำภิกาเริ่มพิธีเป็น คนแรก พอพระนางอำภิกาเห็นฤาษีวยาสก็ต๊กใจในความแก่ของฤาษีวยาสถึงกับนอนหลับตาไม่ กล้ามองระหว่างนั้นฤาษีวยาสก็ ป้าบๆๆ ไปด้วย พอป้าบๆๆ เสร็จฤาษีวยาสก็ถามว่า " ที่นางหลับตานี่เพราะกลัวที่จะเห็นรูปร่างอันเหี่ยวย่นใช่มั๊ย " พระนางอำภิกาก็ไม่ตอบ ฤาษีวยาสก็บอกว่า " ลูกที่จะเกิดต่อไปนี้ให้ชื่อว่า ทิตราชย์(ทิ-ตะ-ราด) แต่ในระหว่างที่กำลังมีอะไรกันนั้นนางไม่ยอมลืมตาก็จะสาปให้ทิตราชย์นั้นตาบ อด!! "

ส่วนพระนางอำภาลิกาน้องคนสุดท้องได้เข้ามาเจอฤาษีวยาสก็ ตกใจเหมือนกัน ตกใจไมได้หลับตาแต่กลัวจนตัวขาวซีดเพราะขยะแขยง ฤาษีวยาสก็ถามว่า " ทำไมเจ้าตัวซีดนักกลัวข้าหรือ? " พระนางอำภาลิกาก็ไม่ตอบ ฤาษีวยาสก็เลยเข้าไป ป้าบๆๆ ต่อเป็นคนที่สอง แล้วก็บอกว่า " ลูกที่จะเกิดคนที่สองนั้น จะชื่อว่า ปาณฑุ (ปาน-ทุ)แต่ในเมื่อเจ้ากลัวข้าจนตัวซีดข้าก็จะสาปให้ ปาณฑุนั้นตัวขาวซีดเผือก "

ซึ่งในเวลาต่อมา ท้าวทิตราชย์ก็คือต้นกำเนิดของพี่น้องเการพ ส่วนท้าวปาณฑุก็เป็นต้นกำเนิด พี่น้องฝ่ายปาณฑพ นั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น