Asd

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

มหากาพย์ มหาภารตะ ชีวิตในราชสำนัก การเล่นสกา การเนรเทศเหล่าปาณฑพ

หลัง จากที่พี่น้องปาณฑพทั้ง5คนได้ยินเสด็จแม่พูดแบบนั้นแล้ว หลายท่านก็อาจจะงงว่า เอ๊ะจะแบ่งกันยังไง จะอยู่กันยังไง ก็จะขอเล่าตำนานของพระนางเทราปตีให้ฟังสักเล็กน้อยนะครับ

พระนางเทราปตีเมื่อชาติที่แล้วชื่อว่า นาราญาณี เป็นเมียของฤาษีเฒ่า นางนาราญาณีเป็นคนตามใจสามีมากและฤาษีคนนี้มินิสัยขี้บ่น จู้จี้ จุกจิก มาก แต่นางนาราญาณีนี้ก็ไมได้รังเกียจรังงอนอะไรสั่งให้ทำอะไรก็ทำ ทำเต็มที่ทำเท่าที่จะทำได้ก็อยู่ด้วยกันหลายปี ฤาษีก็เรียกนางนาราญาณีมาบอกว่า จริงๆแล้วที่ตนแกล้งจู้จี้ขี้บ่น ต่างๆนานานั้นหวังที่จะลองใจนางนาราญาณีดูเท่านั้น เมื่อผ่านการทดสอบแล้วนางนาราญาณี จะขอพรอะไรกับตน นางนาราญาณีก็บอกว่าขอฤาษีนั้นรักเธอเหมือนกับที่ผู้ชาย5คนรักเธอในเวลา เดียวกัน ฤาษีเฒ่าก็ให้พรแล้วทั้งสองก็ใช้ชีวิตร่วมกันจนกระทั่งฤาษีเฒ่านั้นมี ภูมิธรรมสูงจนเกิดความเบื่อหน่ายแล้ว(กะว่าจะตายแล้วว่างั้น)แต่นางนาราญาณี นั้นไม่ยอมเพราะนางมีความสุขเมื่ออยู่กับฤาษีเฒ่ามาก แต่ฤาษีเฒ่าก็ยังยืนยันว่าจะไม่อยู่แล้ว อยากตายเต็มแก่

นางนาราญาณีจึงบำเพ็ญตบะแล้วขอพรต่อพระศิวะ ว่า " ฉันต้องการสามี ฉันต้องการสามี ฉันต้องการสามี ฉันต้องการสามี ฉันต้องการสามี "

พระศิวะได้ยินก็เลยบอกไปว่า " โอ๊วววเค จัดให้ ชาติหน้าเจ้าจะเกิดมีหน้าตาสวยงามและมีสามี5โคนนนนนน"

"จ๊ากกก พระคุณเจ้า 5คนเชียวเหรออออ!!! หม่อมฉันจะรับไหวหรือ"

พระศิวะก็บอกว่า " I cannot help it!, ช่วยบ่ได้เว้ย ก็ฉันได้ยินเธอร้อง5ครั้งนี่นา" แล้วพระศิวะก็หายไป

ท้าวทรุปัทม์พ่อของพระนางเทราปตีนั้นตอนแรกก็กังวล ว่าลูกสาวจะไปตกระกำลำบากกับพราหมณ์ก็เลยสั่งให้ทหารไปเชิญตัวมาอยู่ในวัง แคว้นปัญจาละด้วยกัน ครั้งเมื่อท้าวทรุปัทม์เห็น ยุธิษฐีระซึ่งเป็นพี่คนโตซึ่งมีลักษณะน่าเกรงขาม(มีออร่า)และคิดในใจว่า พราหมณ์หนุ่มพวกนี้ไม่ใช่พราหมณ์ทั่วไปแน่ๆจึงได้ถามว่าความจริงว่าพวกท่าน นั้นคือใคร ยุธิษฐีระก็จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังว่าพวกตนเป็นพี่น้องปาณฑพ ตนเป็นพระยุพราชย์ของหัสตินปุระ ส่วนพราหมณ์ที่ชนะในการประลองยิงปลาบนยอดเสาด้วยธนูนั้นเป็นน้องคนที่3ของตน ชื่อ อรชุน

ท้าวทรุปัทม์ได้ยินดังนั้นก็โล่งใจ และจัดให้มีงานอภิเษกสมรมรสกันอย่างยิ่งใหญ่ในแคว้นปัญจาละข่าวการอภิเษกสม รมรสได้เข้าหู ทุรโยชน์ยังความเคียดแค้นแก่ทุรโยชน์และพี่น้องอีก99คน ทั้ง100คนจึงได้เข้าเฝ้าท้าวทิตยราชย์ผู้เป็นพ่อ ว่า "พวกมันคงต้องทำลายล้างพวกเราเป็นแน่ โดยเฉพาะท้าวทรุปัทม์ซึ่งเป็นสัสสุระ(พ่อตา)นั้น มีพรรคพวกเพื่อนพ้องและกำลังพลอยู่ไม่ใช่น้อย"

ท้าวทิตยราชย์จึงนำ ความเข้าปรึกษาท้าววิฑูรน้องชายและเหล่าอำมาตย์ ทั้งหมดต่างก็มีความเป้นว่าให้ยกแผ่นดินให้พวกพี่น้องปาณฑพไปส่วนหนึ่งแล้ว ก็เลิกแล้วต่อกันไป ท้าววิฑูรจึงเป็นตัวแทนไปหาพี่น้องปาณฑพทั้ง5ที่แคว้นปัญจาละพร้อมทั้ง บอกว่าให้พี่น้องปาณฑพและพระนางกุณตีกลับไปอยู่ที่หัสตินปุระตามเดิม พอพี่น้องทั้ง5และพระนางกุญตีกลับมาอยู่ที่หัสตินปุระแล้วท้าวทิตยราชย์จึง รับสั่งให้พี่น้องทั้งหมดเข้าเฝ้า เมื่อพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วท้าวทิตยราชย์ก็เอ่ยมาว่า

" หลานรักทั้ง5ของลุง อะไรที่ผ่านมาแล้วนั้นก็ขอให้แล้วไปนะ อย่างไรเราก็สายเลือดเดียวกัน ต่อจากนี้ไปลุงจะยกแผ่นดินให้พวกหลานส่วนหนึ่ง คือยกดินแดน ขาณฑวปรัสถ์ ให้พวกเจ้า ส่วนพวกเจ้าจะดูแลอย่างไรก็สุดแล้วแต่พวกเจ้าเถิด"

พี่ น้องทั้ง5 แม่และเมียอีก1 จึงได้ย้ายสำมะโนครัวอีกครั้งไปอยู่ยังแคว้น ขาณฑวปรัสถ์ (ขาน-ทะ-วะ-ปรัด) พี่น้องและไพร่ฟ้าประชาชนที่ติดตามมาด้วยก็ได้ก่อร่างสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ จากทุ่งนาแห้งแล้งกันดารเป็นเมืองใหม่สุดไฮโซและ ให้ชื่อเมืองใหม่ว่า อินทรปรัสถ์(อิน-ทะ-ระ-ปรัด : ที่ราบสูงแห่งพระอินทร์-ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของนิวเดลีปัจจุบัน ส่วนหัสตินปุระนั้นอยู่เยื้องไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ57ไมล์)และทั้ง หมดต่างก็อยู่ด้วยกันอย่างผาสุก

แม้ว่าจะมีเมียคนเดียวกันแต่พี่น้อง ทั้ง5นั้นแต่ทั้ง6ก็ไม่เคยมีปัญหากันเลยจนสมเด็กรมพระปรมานุชิตชิโนรสได้ทรง นิพนธ์ชีวิตของพระนางเทราปตีตอนนี้ว่า

อัครเรศเกศแก้วกฤษณา ยิ่งยศปรีชา
เฉลียวเฉลิมโลกีย์

ประติบัติกษํตราสวามี ห้าองค์นฤบดี
เสน่ห์สนิทนิจกาล

ห่อนเคียดขึ้งคำราคาญ เขษมสุขสำราญ
ภิรมย์ฤดีปรีดา

ผลัดเปลี่ยนเวียนเวรราชา ถนอมแนบนิทรา
ละวันบรรโลมโฉมสมร

(จากหนังสือ กฤษณาสอนน้องคำฉันท์)

ก็ หลังจากที่พระนางเทราปตีนั้นได้มาอยู่กับพี่น้องปาณฑพทั้ง5แล้วที่นครอินทร ปรัสถ์ ซึ่งทั้ง5ต่างก็มีกติกาในการแบ่งเวลาที่อยุ่กับนางเทราปตีว่า

1.จะอยู่กับคนใดคนหนึ่งเป็นเวลา2ปี
2.ในระหว่างที่พระนางเทราปตีอยู่ในห้องกับสามีคนใดคนหนึ่งสองต่อสองห้ามพี่น้องคนอื่นเข้าไปเด็ดขาด
3.ถ้าไม่ใช่เวรตัวเอง แต่ดันมีอารมณ์รักใคร่ให้ไปแม่น้ำคงคาแล้ววักน้ำล้างหน้าล้างตาให้หายของขึ้นซะ

ซึ่งถ้าใครปิดกติกาต้องเนรเทศตัวเองไปอยู่ที่อื่น12ปี และพี่น้องทั้งหมดต่างก็อยู่ด้วยกันภายใต้กติกาอันนั้นมาตลอดจนกระทั่งวัน หนึ่งมีพราหมณ์เฒ่ามาร้องห่มร้องไห้หน้าประตูวังว่า โคที่เคยให้นมอย่างอุดมสมบูรณ์ของตนนั้นถูกลักไป จึงมาขอร้องให้พี่น้องปาณฑพช่วยตามโคกลับมาที อรชุนได้ทราบความเป็นคนแรกด้วยสำนึกในหน้าที่อรชุนก็พรวดเข้าไปใน้ห้องเพื่อ ไปหยิบธนูอาวุธคู่กายของตนโดยไม่ได้สังเกตุว่า ยุธิษฐีระพี่ของตนั้นกำลังนั่งคุยกับพระนางเทราปตีในห้องดังกล่าวนั้นเอง พอเมื่อตามเอาโคมาคืนพราหมณ์เฒ่าเสร็จก็นึกขึ้นได้ว่า พี่ของตนกับนางเทราปตีนั้นกำลังอยู่ด้วยกัน อรชุนจึงต้องเนรเทศตัวเองออกไปผจญภัย12ปี ท่ามกลางการทัดทานของยุธิษฐีระ

ซึ่งช่วงเวลา12ปีนี้ที่อรชุนไปผจญภัยนี้สนุกมากครับ แต่มันก็ยาวมากเช่นกัน จะขอเล่าประเด็นหลักๆแล้วกันนะครับ
คือ หลังจากที่อรชุนออกไปลุยโลกกว้างคนเดียว อรชุนได้ลุยไปถึงนครของพวกพญานาคและได้นาง อุลูปี ธิดาพญานาคเป็นเมียคน(ตน)ที่2 เดินทางไปยังเมือง มณีปุระ และก็ได้นางจิตรา หรือ จิตรางคทา เป็นเมืยคนที่3และมีลูกด้วยกันชื่อ พภรูวาหนะ(พะ-พรู-วา-หะ-นะ) ต่อจากนั้นก็ได้ลุยไปถึงเมืองทวารกา(ทะ-วา-ระ-กา หรือ ทราราวดี) ซึ่งเป็นนครของพระกฤษณะซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของพี่น้องปาณฑพทั้ง5และอรชุนก็ ได้แต่งงานกับนางสุภัทรา ซึ่งเป็นน้องสาวของพระกฤษณะ ต่อมามีลูกชาย ชื่อ อภิมันยุ ซึ่งอภิมันยุนี้เก่งมากครับและมีบทบาทมากในการรบที่ทุ่งกุรุเกษตรในเวลาต่อ มา

พอครบ12ปี อรชุนก็กลับมายังเมืองอินทรปรัสถ์พร้อมกับพระนางสุภัทราและพระกฤษณะ ซึ่งพระกฤษณะนี้ก็ไปๆมาๆระหว่างอินทรปรัสถ์-ทวารกานะครับ อีกทั้งยังเป็นคอนเซาท์แต้น ของเหล่าปาณฑพด้วย

user posted image
พระกฤษณะและอรชุน

เมื่อเรื่องราวทั้งหมดลงตัวแล้ว พระนางเทราปตีก็ได้ให้ลำเนิดลูกๆแก่บรรดาพี่น้องทั้ง5คนโดยเริ่มจาก
1.ประติวินธัยเป็นลูกของ ยุธิษฐีระ
2.ศรุตโสมเป็นลูกของ ภีมะ
3.ศรุตกรรมเป็นลูกของ อรชุน
4.ศตานีกะเป็นลูกของ นกุล
5.ศรุตเสนเป็นลูกของ สหเทพ


หลังจากที่สร้างบ้านแปงเมืองที่อินทรปรัสถ์กใหญ่ แล้วก็ได้มีเหตุเฟาเฟาเหม้า(ไฟไหม้)ป่าชานเมืองแบบว่าไหม้มโฬรเหมือนที่แคลิ ฟอร์เนียตอนนี้เลยครับ ซึ่งหลังจากเฟาเหม้าในครั้งนั้นก็มี มัยทานพหนุ่ม(ช่างก่อสร้าง)รอดจากกองไฟไหม้ป่าครั้งนั้นมัยทานพหนุ่มก็อยาก จะตอบแทนบุญบารมีของพี่น้องปาณฑพทั้ง5จึงขอขันอาสาสร้างสภาเมืองให้โดยใช้ เวลาการสร้าง14เดือน ซึ่งสภาของเมืองอินทรปรัสถ์นั้นงดงามมากชนิดที่ว่าสภาของหัสตินปุระเทียบไม่ เห็นฝุ่นเลยทีเดียว

ซึ่งนับถึงตอนนี้เรื่องราวก็เริ่มขมวดเกลียวแข็ง ปั๋งทวีความแค้นขึ้นกับทุกฝ่าย ทางฝั่งเการพนำโดยทุรโยชน์ก็แค้นที่ว่าไม่สามารถฆ่า5พี่น้องปาณฑพได้สักที แถมยังสร้างเมืองเจริญแซงหน้าหัสตินปุระที่ตนอยู่ แบบว่า ขายหน้ามาก
ทาง ฝั่งปาณฑพก็แค้นทุรโยชน์และพี่น้องฝั่งเการพเพราะที่ตนและแม่ลำบากลำบนดั้น ด้นจากหัสตินปุระไปตั้งเกือบ20ปีเพียงเพราะทุรโยชนือิจฉาและต้องการที่จะฆ่า พวกตนเสีย

การรบที่ทุ่งกุรุของทั้ง2ฝั่งนั้นมีเหตุหลักๆที่เสริมมาอีก2เหตุครับ

เหตุแรกก็คือการพนัน ส่นเหตุที่สองก็มาจากตัวพระนางเทราปตีครับ

ผมขอเล่าที่มาของพระกฤษณะในภาคของมหาภารตะนี้ก่อนนะครับ เพราะพระกฤษณะนี้มีบทบาทมากทีเดียวในมหาภารตะครับ

เริ่ม ที่ว่าพระกฤษณะนั้นเดิมทีอยู่ราชวงศ์ ยาฑพหรือยาทป(ยา-ถบ หรือ ยา-ทะ-ปะ)ซึ่งมีพระราชาชื่อว่า ศูร(สู-ระ)ปกครองชาวสุรเสนในนครมธุราซึ่งแคว้นมธุรานี้ก็อยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ยมุนาตอนเหนือใกล้ๆกับกรุงอินทรปรัสถ์ พระราชาศูรนี้มีลูกด้วยกันสองคน คนโดเป็นผู้ชายชื่อเจ้าชายวสุเทพ อีกคนเป้นลูกสาวชื่อเจ้าหญิง กุณตี ซึ่งเจ้าหญิงกุณตีนี้ก็คือแม่ของพี่น้องตระกูลปาณฑพครับ ซึ่งสมัยที่พระนางกุณตียังสาวๆนั้นผมเคยเล่าให้ฟังว่าพระนางเรียนวิชาเรียก เทพให้มาสมสุ่กับตัวเองได้ ซึ่งต่อมาก็ได้ใช้วิชานี้จนมีลูกชาย3คนแรกคือ ยุษธิษฐีระ ภีมะ และ อรชุน พี่ชายของพระนางกุณตีคือท้าววสุเทพนั้นได้ไปแต่งงานกับลูกสาวของท้าวอุรุเสน ซึ่งท้าวอุรุเสนนั้นมีลูกมากซึ่งลูกที่เป็นรัชทายาทย์และเกเรมากชื่อว่า ท้าวกังษะ ตอนหนังได้จับพ่อไปขังและขึ้นครองราชย์แทน ซึ่งลูกสาวเท่าที่จำได้นั้นมีอยู่สองคนครับ คนนึงชื่อพระนางเทวกี อีกคนชื่อพระนางโลหิณี ท้าววสุเทพก็ได้แต่งงานกับพระนางเทวกี

ท้าว กังษะนั้นค่อนข้างโหดเหี้ยมทารุณแม่ว่าจะมั่นใจว่าตัวเองจะขึ้นครองราชย์ได้ แต่ก็ได้จับพ่อตัวเองไปขังและกลัวว่าท้าววสุเทพเพื่อนรักนั้นจะไม่ช่วยเหลือ คนในการครองราชย์บ้านเมืองจึงยกน้องสาวให้(พระนางเทวกี)และก็ได้อยู่ช่วยงาน ท้าวกังษะ ซึ่งยังความเดือดร้อนมหาซวยแก่คนในเมืองเป็นอย่างมาก ต้องส่งส่วยนมเนยทุกวัน ประชาชีทุกใจมาก
ไม่มีใครกล้าหือ วันนึงท้าวกังษะกำลังจะออกประภาษป่าก็ได้มีฤาษีตนหนึ่งมายืนตัดหน้าแล้ว บอกว่าเรามาที่นี่เพื่อจะบอกว่า " ลูกชายคนที่8ของท้าววสุเทพเพือนท่านที่เกิดกับพระนางเทวกีน้องสาวของท่านเอง จะเป็นคนฆ่าท่านและคนในเมืองก็จะอยู่ด้วยความผาสุก ...ไอ่สาดดดดดดดดด"

พอท้าวกังษะได้ยินดั่งนั่นก็ได้เกิดวิตกจึงได้สั่งให้จับท้าววสุเทพกับพระนางเทวกีซึ่งเป้นน้องสาวแท้ๆ ขังคุกด้วยกัน
พอสองคนอยู่ด้วยกันในคุกปีแรกก็ได้ให้กำเนิดลูกชายท้าวกังษะจึงสั่งให้เอาลูกชายนั้นไปฆ่าทิ้ง เป้นอยู่อย่างนี้อยู่6ปี
พอ ลูกคนที่7พระนางเทวกีก็กำลังจะออกลูกพระนางโลหิณีซึ่งเป้นพี่สาวก็ได้เสด็จ มาที่คุกแล้วบอกว่าลูกคนที่7นี้เราจะเอาไปเลี้ยงเองแล้วก็เอาเด็กคนอื่นไป ให้ท้าวกังษะฆ่าทิ้งแทน ซึ่งลูกคนที่7นี้ชื่อว่า พลราม เมื่อเวลาผ่านไปท้าวกังษะก็ยิ่งลุ้นนับเวลาถอยหลัง พอพระนางเทวกีเริ่มท้องอ่อนๆท้าวกังษะก็สั่งให้ควบคุมอย่างเข้มแข้งตอนนี้ ท้าวกังษะนี้กำลังเล่นตลกกับโชคชะตา เตรียมพร้อม100%

ในระหว่างที่ เหตุการณ์กำลังลุ้นเสียวขึ้นไปทุกวัน ท้าววสุเทพก็ได้แอบติดต่อกับเพื่อนซึ่งเป้นคนเลี้ยงวัวจากในคุก ซึ่งเพื่อนคนนี้ชื่อว่า นันทะ แล้วนันทะนี้ก็มีเมียชื่อยโสธาราซึ่งได้แต่งงานและกำลังตั้งท้องในเวลาไล่ เลี่ยกันในคืนที่กระนางเทวกีคลอดลูกคนที่8ออกมานั้น ฝนตกรถติดกันทั้งเมือง ประตูคุกที่เคยปิดก็เปิดออกโซ่ตรวนที่เคยมีก็หลุดลง
ท้าววสุเทพก็จึงได้ แอบออกมาหา นันทะที่เมืองโกกุนซึ่งอยู่ติดๆกัน แต่อนิจจาฝนตกหนักน้ำในแม่น้ำยมุนาก็หนุนขึ้นสูง ท้าววสุเทพซึ่งลุยน้ำแบบจวนเจียนที่จะจมเต็มทีน้ำจากแม่น้ำที่ขึ้นสูงจนถูก ตัวลูกของท้าววสุเทพปุ๊บก็ได้เกิดอัศจรรย์คือน้ำได้ลดระดับลงอย่างรวดเร็ว ท้าววสุเทพจึงเดินทางได้สะดวกขึ้นครั้นพอเมื่อวสุเทพมาถึงบ้านของนันทะเมีย ของนันทะเองก็เพิ่งจะคลอดลูกสาวออกมาได้ไม่นาน นันทะจึงบอกให้ท้าววสุเทพเปลี่ยนตัวลูกกัน ลูกของท้าววสุเทพนันทะก็ได้เอาไปเลี้ยง ส่วนลูกสาวของนันทะนั้นก็ถูกพากลับไปสู่คุก

พอท้าววสุเทพทราบว่าพระ นางเทวกีคลอดเรียบร้อยแล้วท้าวกังษะก็ได้เกินทางมายังคุกหมายจะฆ่าลูกชายคน ที่8แต่ก็ต้องแปลกใจว่าพระนางเทวกีนั้นคลอดลูกออกมาเป็นผู้หญิงใจหนึ่งก็ ดีใจว่า คำสาปของฤาษีนั้นคงจะไม่เป้นจริงเพราะลูกที่เกิดมาเป็นผู้หญิง แตเพื่อความชัวร์ท้าวกังษะก็หมายจะฆ่าเด็กผู้หญิงคนนี้ทิ้งเสีย กำลังเงื้อดาบอยู่นั้นเองก็ได้มีเสียงร้องจากอากาศมาว่า " อย่า..... " ท้าวกังษะตกใจผลันโยนเด็กน้อยขึ้นบนฟ้าพลันนั้นเด็กน้อยก็ได้หายวับไปกับตา ท้าวกังษะก็ค่อยปลงใจไปเปลาะนึงเพราะคิดว่าคำสาปคงจะไม่เป้นจริงแล้ว

พระ กฤษณะนั้นเดิมชื่อว่ากรรณหา เติบโตอยู่ในหมู่บ้านโกกุน มีลักษณะแปลกเด็กคือเป้นเด็กขี้เล่นร่าเริง หน้าตาดี เป่าขลุ่ยได้ทั้งวันยังความเอ็นดูแก่คนอื่นที่พบเห็น และมีเรื่องหน้าแปลกว่าถ้ากรรณหา(หรือพระกฤษณะ)ลักขโมยกินนมเนยและเอามา เผื่อแผ่เด็กกลุ่มเดียวกันจากบ้านไหน วัวบ้านนั้นจะให้น้ำนมมากกว่าเดิม พอชาวบ้านเรื่องชาวบ้านก็เลยออกอุบายบอกไบ้ที่เก็บนมและเนยในบ้านตนเพื่อให้ กรรณหามาลักไปแจกเด็กๆในหมู่บ้านเพื่อที่วัวของตนจะให้น้ำนมมากขึ้น ในวัยเด็กนั้นพระกฤษณะนั้นเป็นคนเลี้ยงวัว เราจะเห็นภาพศิลปะมากมายของพระกฤษณะที่กำลังเลี้ยงวัวถือขลุ่ย

user posted image user posted image user posted image user posted image


พระกฤษณะก็ได้อยู่ในหมุ่บ้านนี้ได้11ปีจนมาวันหนึ่งก็ได้มาการถวายนมเนยแก่พระอินทร์ กรรณหาก็แปลกใจและถามว่า

" เหตุใดจึงต้องบูชาพระอินทร์ด้วยเล่า พระองค์ไม่เห็นทำอะไรเลย ทำไมไม่บูชาวัว ซึ่งให้นมและเนยกับพวกเรา ทำไม่บูชาหญ้าซึ่งเป้นอาหารของวัว หรือทำไมไม่บูชาภูเขาโควัฒนะ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดความร่มรื่นและป่าไม้ควาอุดมสมบูรณ์แก่หมู่บ้าน "

พระ อินทร์เมื่อได้ยินดังนั้นก็ เกิดโมโหครับ สาปให้ฝนตก7วัน7คืน ทีนี้ชาวหมู่บ้านก็โกกุนก็ซวยสิครับ ฝนตกขนาดนั้น สูบออกไปไหนก็ไม่ทัน ผู้ว่าอภิรักษ์ก็ช่วยไมได้ ชาววบ้านจึงตำหนิ ด.ช กรรณหา จอมซนว่า

" เห็นมั๊ย เพราะเจ้าดูหมื่นพระอินทร์ พวกเราเลยโดนสาป น้ำกัดเท้าคันจะแย่อยู่แล้ว "

ด. ช กรรณหาหรือกระกฤษณะก็จึงแสดงปาฎิหารย์ด้วยการใช้นิ้วเดียวยกภูเขาโควัฒนะ ขึ้นมาบังท้องฟ้าเอาไว้ ถึงฝนจะตกแต่หมู่บ้านก็เสียหายน้อยลง จนพระอินทร์นั้นยอมแพ้และมาทราบภายหลังว่ากรรณหานั้นคือพระนารายณ์อวตารลงมา เกิดเป็นพระกฤษณะ จึงได้ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่หลังจากที่แสดงอิทธิฤทธิ์แล้วก็จึงบอกกับชาว บ้านไปว่า
ต่อจากนี้ไปไม่ต้องส่งส่วยนมเนยไปให้ท้าวกังษะแล้วครั้นพอท้าว กังษะทราบเรื่องว่าเมืองโกกุนนำโดยพระกฤษณะนั้นแข็งข้อและทราบว่าพระกฤษณะ นั้นเป็นหลานคนที่8ที่เล็ดรอดหนีไปได้ ท้าวกังษะจึงได้ทำกลอุบายให้ไปเชิญมายังเมือง โดยระหว่างที่พระกฤษณะติดตามข้าราชบริพานของท้าวกังษะกลับมายังเมืองนั้น (ไม่ได้กลัวแต่อย่างใด) ลูกน้องของท้าวกังษะก็ได้ปล่อยช้างศึกตกมัน หมายเข้าขยี้พระกฤษณะแต่ธรรมดาครับ ตัวเด่นของเรื่องซะอย่างจะตายง่ายๆได้ยังไง พระกฤษณะก็จัดการหักงวงหักงา ช้างศึกตกมันตัวนั้นเสียอย่างง่ายดาย พอพระกฤษณะเข้ามายังเมืองก็ได้เจอกับท้าวกังษะและได้ต่อสู้กับท้าวกังษะ

ซึ่ง ที่ปราสาทบันทายศรีจะมีรูปสลักพระกฤษณะกำลังฆ่าท้าวกังษะอยู่ครับที่บรรณา ลัยฝั่งตะวันตกลองไปหาดูกันคือจะเป็นรูปปราสาทแล้วมีคนที่กำลังถูกจิกหัว พร้อมกับกำลังถูกมีดแทง เมื่อพระกฤษณะฆ่าท้าวกังษะผู้เป็นลุงแล้วประชาชนก็ยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง พระกฤษณะกับพลรามพี่ชายก็รีบไปที่คุกและปล่อยพระเจ้าตา คือท้าวอุรุเสน พ่อซึ่งก็คือท้าววสุเทพและแม่คือพระนางเทวกีแล้วก็เชิญท้าวอุรุเสนผู้เป็นตา ขึ้นครองราชย์ต่อไป

พระกฤษณะนั้นก็ได้ออกเดินทางไปร่ำเรียนวิชาและ ผจญภัยอยู่จนกระทั่งโตเป็นหนุ่มและได้กลับมาที่เมืองต่อมาได้เกลี้ยกล่อมให้ ย้ายเมืองจากที่เดิมไปตั้งรกรากใหม่ ชื่อว่า ทวารกา(บอมเบย์ในปัจจุบัน) และในช่วงที่พระกฤษณะไปปกครองทวารกานั้นก็เป็นช่วงที่พี่น้องทั้งเการพและ ปาณฑพกำลังระหองระแหงกันพอดี ซึ่งเมื่อนับญาติแล้วพระกฤษณะก็นับเป้นลูกพี่ลูกน้องกับฝั่งปาณฑพเหมือนกัน เพราะถือว่าพระกฤษณะนั้นเป็นลูกของลุงนั่นเอง ความสนิทชิดเชื้อจึงมีอยู่ไม่น้อย เมื่อปาณพพเดือดร้อนคราใดถ้ามีโอกาศก็จะมาช่วยพร้อมกับพลรามเสมอๆ

มหากาพย์ มหาภารตะ ชีวิตในราชสำนัก การเล่นสกา การเนรเทศ

หลังจากที่โทรณาาจารย์ถูกท้าวทรุปัทม์เจ้าเมืองปัญ จาละอดีตเพื่อนสนิทขับไล่ไสส่งจากแคว้นแล้ว โทรณาจารย์ก็เดินเดินทางตุหรัดตุเหร่มายังหัสตินปุระ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเมียแก จนเจอเจ้าชายทั้งฝั่งเการพและปาณฑพ หลังจากที่ท้าวภีษมะทราบว่าโทรณาจารย์มายังเมืองหัสตินปุระ ท้าวภีษมะก็ได้แต่งตั้งให้โทรณาจารย์เป็นพระอาจารย์ใหญ่ของเจ้าชายทั้ง 105พระองค์ วิชาที่โทรณาจารย์ถนัดมากที่สุดคือวิชายิงธนู ซึ่งในบรรดาเจ้าชายทั้งหมดก็จะมีคนที่ไม่ใช่ลูกกษัตริย์คนหนึ่งมาเรียนด้วย ชื่อ กรรณนะ ประเดี๋ยวจะเล่าถึงอดีตของกรรณนะทีหลังนะครับ

ใน บรรดาลูกศิษย์วิชาธนูที่จัดได้ว่าเจ๋งเป้งมากที่สุดเรียนแล้วพระอาจารย์ happy ก็คือ อรชุน ซึ่งอรชุนก็คือลูกของพระนางกุณตีอันเกิดจากการเรียกเทพมาเป็นพ่อเด็ก ซึ่งพ่อของอรชุนก็คือ พระอินทร์ อรชุนก็แสดงฝีมือให้เห็นตั้งแต่เด็กๆว่าเก่งสุดยอด ซึ่งถ้าเรื่องกำลังต้องยกให้ ภีมะ พี่ชายผู้ดื่มน้ำอมฤตเพิ่มพลังจากพญานาค แต่ถ้าเรื่องอาวุธ รบพุ่ง ต้องยกให้อรชุน ครั้นเมื่อสอนเจ้าชายทั้ง105องค์แล้วโทรณาจารย์ก็อยากจะทดสอบฝีมือซะหน่อย ว่าไอ้ที่สอนมาเป้นอย่างไรบ้าง แกก็เรียกลูกศิษย์ทั้งหมดออกมา สั่งเตรียมธนูเตรียมลูกศรให้เรียบร้อย เสร็จแล้วก็ชี้ไปที่ยอดไม้แล้วบอกว่า

"บนยอดไม้มีนกเกาะอยู่ตัวนึงให้ยิงนกให้หัวขาด ให้ครูดูซะหน่อย " โทรณาจารย์ก็เรียกลูกศิษย์ออกมาทีละคนแล้วพาดศรเตรียมยิงแต่ก่อนยิงโทร ณาจารย์ถามลูกศิษย์ว่า เจ้าเห็นอะไรบ้าง ลูกศฺษย์แต่ละคนก็บอกว่า เห็นใบไม้ เห็นกิ่งไม้ เห็นนก ....ทุกคนตอบเหมือนกันหมด ว่า เห็นใบไม้ เห็นกิ่งไม้ เห็นนก อรชุนนี่ถูกเรียกเป็นคนสุดท้าย โทรณาจารย์ก็ถามเหมือนเดิมว่า อรชุนเจ้าเห็นอะไรบ้าง อรชุนก็ตอบว่า

" ข้าพเจ้าเห็นนก " โทรณาจารย์ถามต่อไปอีกว่า
" นอกจากนกแล้วเจ้าเห้นอะไรอีก"
อรชุนก็ตอบกลับมาว่า
" ข้าพเจ้าไม่เห็นอะไรอีกเลยพระอาจารย์ นอกจากนกข้าพเจ้าก็ยังเห็นแค่หัวของมัน"

แสดงว่าตาของอรชุนนี่จับเป้าตรงเป๋งอย่างเดียวเลย อาจารย์ได้ยินดังนั้นก็ดีใจมากบอกว่า เจ้าคือนักธนูที่ดีที่สุด เอ้า....ยิงโลด
อรชุน ก็ยิง ฟั่บบบ!! นกหัวขาดกระเด็นหายไป ตอนนี้อรชุนก็ถือว่าเป้นศิษย์โปรดเต็มตัวของโทรราจารย์แล้ว ในท้ายที่สุดโทรณาจารย์ก็สอนวิชายิงธนูพิเศษให้กับอรชุนเพียงคนเดียว (ลำเอียงล่ะ ว่าง่ายๆ)ชื่อวิชา พหรมเศียร ซึ่งวิชานี้จะให้ใช้ได้เฉพาะเวลาไปสู้กับเทวดาห้ามยิงบนโลกมนุษย์เพราะจะทำ ให้เกิดไฟบรรลัยกัลป์

user posted image

หลัง จากยิงหัวนกแล้วโทรณาจารย์ก็สั่งให้ลูกศิษย์แบ่งเป็นสองฝ่ายคือ ฝั่ง5พี่น้องปาณฑพและฝั่งพี่น้องเการพ อีก100คนที่เหลือ(โคตรยุติธรรม) ประลองวิชากันซึ่งท้ายที่สุดพี่น้องทั้ง100คนของฝั่งเการพก็สู้5คนพี่น้อง ฝ่ายปาณพพไมได้ จนในที่สุด กรรณนะ ซึ่งเป็นลูกของสารถี(คนขับรถ) ตามจริงแล้วนั้น กรรณนะถือเป็นลูกคนโตของพี่น้องปาณฑพเพราะสมัยที่พระนางกุณตีสำเร็จวิชา เรียกเทพมาใหม่ๆ (สมัยที่ยังไม่ได้แต่งงานกับท้าว ปาณฑุ ) ก็ได้ลองวิชาเรียกเทพให้มาสมสุ่กับตน

โดยกรรณนะเป็นลูกของ สุริยเทพ(พระอาทิตย์) เมื่อเรียกมาแล้วก็ต้องมีsomethingกัน คิมูจิ๊กันซึ่งตอนที่ กรรณนะเกิดมานี่ กรรณนะเกิดมาพร้อมเสื้อเกราะ(คงลำบากน่าดู)ก็เลยตั้งชื่อว่ากรรณนะแปลว่าผู้ มีเกราะป้องกันตัวซึ่งพระนางกุณตีถือว่ากรรณนะนี้ไม่ใช่ลูกที่เกิดจากการ แต่งงานก็ไม่รับเลี้ยงไว้จึงเอาไปลอยน้ำ ต่อมาคนขับรถของท้าวทิตราชย์(ราชาตาบอด)ก็ได้เก็บไปเลี้ยงแล้วก็อาศัยอยู่ใน แวดวังดังนั้นเวลาเรียนแกจึงอยู่ฝ่ายเการพพอเห็นว่าฝ่ายตนสู้ไมได้จึงได้ขอ ท้าประลองกับอรชุนแทน แต่ทว่าในตอนนั้นกรรณนะเป็นเพียงลูกคนขับรถไม่สามารถท้าลูกกษัตริย์ซึ่ง วรรณะสูงกว่าได้ก็เลย ต๊ะแปะโป้งความแค้นเล็กๆเอาไว้ก่อน

เมื่อ สำเร็จวิชาทั้งมวลแล้วในอินเดียสมัยนั้นยังไม่มีรับปริญญาอะไรนะครับ เข้ามีแต่พิธี คุรุทักศิษย์ คือทำภารกิจที่อาจารย์มอบหมายมา โทรณาจารย์ก็เรียกเด็กๆ(หนุ่ม)มาบอกว่า เอาล่ะเรียนวิชาก็หมดแล้ว พวกเธอทำอะไรให้พระอาจารย์ซะอย่างนึงนะ งุงิงุงิ

โทร ณาจารย์ก็นึกได้ว่าสมัยก่อนแกเคยโดนท้าวทรุปัทม์อดีตเพื่อนเลิฟขับไล่ไสส่ง แบบไม่ใยดีมา แกก็เลยบอกลูกศิษย์ว่า ช่วยไปล้างอายให้พระอาจารย์หน่อยก็เลยจัดทัพไปกระแทกรบกับแคว้นปัญจาละ ท้าวทุรปัทม์นี่สู้ไมได้เลยครับ เพราะเด็กๆและกองทัพของหัสตินปุระนั้นเก่งมาก แคว้นปัญจาละก็เลยแพ้ไปแถมท้าวทรุปัทม์ถูกกุมตัวไว้เมื่อโทรณาจารย์มาเจอกับ ท้าวทรุปัทม์โทรราจารย์ก็บอกว่า

" เป็นไงเพื่อนรัก บัดนี้เพื่อนเป็นฝ่ายแพ้สงคราม เพื่อนไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก็เอาเถิดเห้นแต่ความสนิทที่เคยช่วยเหลือกันมาตั้งแต่สมัยยังเด็ก เรามีข้อเสนอให้เพื่อนคือ ต้องยกแคว้นปัญจาละครึ่งนึงให้กับเรา ถือว่าเป็นการเจ๊ากันไปสมัยที่เพื่อนไม่รักษาคำพูด" ซึ่งต่อมาจะมีรายการแก้แค้นกันอย่างสาสมครับ

ครั้นเมื่อเวลาผ่านไป เจ้าชายทั้ง105ก็เติบโตเป็นหนุ่มใหญ่วัยฉกรรจ์ ก็มาเกิดเหตุในลักษณะที่ว่าใครล่ะจะเป็นครองหัสตินปุระต่อจากท้าวทิตราชย์ ซึ่งเป็นพ่อของพี่น้องฝั่งเการพทั้ง100คน ส่วนฝั่งพี่น้องปาณฑพก็อยู่ในเวียงวังด้วยความอึดอัดเพราะพี่น้องตระกูลเกา รพนั้นต่างก็ต้องการกำจัดพี่น้องฝั่งปาณฑพทั้งนั้น ก็ได้มีการเรียกประชุมปุโรหิต รมต ทั้งหลายว่าคนที่เหมาะสมที่จะได้ครองหัสตินปุระต่อไปควรจะเป็น ยุฐธิษฐีระที่เป็นพี่ชายคนโตของฝั่งปาณฑพซึ่งเกิดจากพระนางกุณตีกับธรรมเทพ (พระยม)เมื่อเจ้าชายยุฐธิษฐีระขึ้นเป็นรัชทายาท

ฝ่ายทุรโยชน์พี่ชาย คนโตฝั่งเการพก็พอใจเข้าไปตัดพ้อกับพระราชาทิตราชย์ว่าแบบนี้ไม่ไหวนะพระ บิดาพวกเราซึ่งเป็นลูกของพระองค์แท้ๆทำไมถึงมองข้ามกันได้ ท้าวทิตราชยืนี่จริงๆแล้วมีใจเป้นธรรมแต่อย่างว่าล่ะครับเลือดย่อมเจ้มจ้น กว่าน้ำพูดไปหลายๆครั้งก็เริ่มโอนอ่อน ทุรโยชน์ก็บอกว่าเอางี้พระองค์อยู่เฉยๆลูกจะจัดการเอง พี่น้องเการพก็วางแผนให้พี่น้องปาณฑพไปประพาน์เมืองอื่นแล้วจะฆ่าทิ้งเสีย กลางทาง
ทุรโยชน์ก็บอกกับท้าวทิตราชย์ว่า ให้ลวงพวกพี่น้องปาณฑพนอกเมืองซึ่งขณะนั้นเมือง วรณาวัฒน(วะ-ระ-นา-วัด)ได้มีงานเฉลิมฉลองเทวาลัย

ท้าว ทิตราชย์สั่งให้พี่น้องปาณฑพไปที่เมืองวรณาวัฒนเพื่อร่วมพิธี ทุรโยชน์ก็ไปสั่งคนสนิทให้สร้างพลับพลาที่ประทับให้กับพี่น้องปาณฑพ แต่พลับพลานี้ต้องถูกสร้างให้ติดไฟง่าย กะว่าจะเผากันเลยทีเดียวแต่ว่าโชคดีที่มีคนใหญ่คนโตในหัสตินปุระซึ่งไม่ใช่ ใครที่ไหน คือเรียกว่าเป็นอาว์ของพี่น้องปาณฑพและเการพ ขอเล่าทวนนิดนึงนะครับ ในตอนที่มีการทำพิธีนิโยก พระนางอำภิกา(แม่ของท้าวทิตราชย์)และพระนางอำภาลิกา(แม่ของท้าวปาณฑุ)ในตอน ที่ท้าวปาณฑุเกิดมาเนี่ยร่างกายไม่ค่อยเข้มแข็ง ฤาษีวยาสก็คงอยากจะให้นางอำภาลิกานี่แก้ตัวโดยจะขอคิมูจิ๊รอบสอง

เอ๊า... รอบแรกยังแทบแย่ นี่จะขอเบิ้ล พระนางอำภาลิกายกมือเซย์โนบอกว่าไม่เอา แล้วพระนางก็ให้นางทาษี(ทาษี=ทาษ=คนใช้)มาคิมูจิ๊แทนก็เลยได้ลูกชื่อว่า วิฑูร แม้นว่าวิฑูรนี้จะไม่ใช่ลูกเชื้อสายกษัตริย์โดยตรงแต่ก็ถือว่าเป้นลูกของ ฤาษีวยาสเช่นกันเป็นพี่น้องกับท้าวปาณฑุและท้าวทิตราชย์เช่นกัน ซึ่งท้าววิฑูรนี่คงได้ความระแคะคายมาว่าจะมีการลอบสังหารพี่น้องปาณฑพทั้ง5 พอใกล้จะถึงวันที่นัดแอบเผาพลับพลาวิฑูรก็แอบส่งคนไปบอกพี่น้องปาณฑพ ยุฐธิษฐีระพี่ชายคนโตฝั่งปาณฑพก็เลยสั่งให้คนสนิทแอบขุดอุโมงค์ลับตอนกลาง คืนครั้นเมื่อพลับพลาที่ติดไฟง่ายสร้างเสร็จอุโมงค์ที่ใช้หลบหนีก็เสร็จเช่น กัน

เมื่อทุกอย่างเสร็จทุรโยชน์ก็ให้ลูกน้องไปแอบเผาพลับพลาแต่ไม่ รู้ไปเผาอีท่าไหนไม่ทราบได้ ลูกน้อง5คนที่ไปแอบเผานั้นกลับตายซะเองส่วนที่น้องปาณฑพก็หลบหนีไปตาม อุโมงค์ที่เตรียมไว้ก็กระเซอะกระเซิงไป ก็หนีเข้าป่า เข้ารกเข้าพงไปจนสุดท้ายก็ลัดเลาะมาแคว้นปัญจาละ จำแคว้นปัญจาละได้มั๊ยครับ ปัญจาละเป็นแคว้นของท้าวทรุปัทม์เพื่อนโทรณาจารย์ซึ่งโดนโทรณาจาราย์และลูก ศฺษย์บอมบ์เมืองจนต้องแบ่งให้ครองเมืองครึ่งนึงไงครับ ซึ่งพอเมื่อท้าวทรุปัทม์นั้นรบแพ้ลูกศิษย์ลูกหาของโทรราจารย์แกก็แค้นแต่ก็ รู้ว่ายังไงๆก็สู้โทรณาจารย์และลูกศิษย์ไม่ได้ ก็เลยใช้วิธีให้ฤาษีขอลูกจากเทพ(คนละแบบกับพิธีนิโยก)

ก็ จับพลัดจับผลูไปได้ฤาษีสองคนมาช่วย คนแรกชื่อ ญาชก(ยา-ชะ-กะ)กับ อุปญาชก(อุบ-ปะ-ยา-ชะ-กะ)ทั้งสองคนนี้มีอิทธิฤทธิ์มากท้าวทรุปัทม์ก็เลยจัด พิธีขอลูกจากเทพอย่างเอิกเกริก
ซึ่งท้าวทุรปัทม์นี้ได้ลูกมาสามคนเป็นผู้ชาย2คน โดยแกตั้งเป้าไว้ว่า
1.ลูกคนแรกจะต้องเป็นคนที่ฆ่าโทรณาจารณ์
2.ลูกคนที่สองจะต้องเป็นคนที่ฆ่าท้าวภีษมะ(ปู่ของพี่น้อง เการพและปาณฑพ)
3.ลูกคนที่จะทำให้ตระกูลเการพนั้นมีปัญหา

โดย คนแรกชื่อ ทิศฎทยุมัน(ทิด-สะ-ตะ-ทะ-ยุ-มัน) คนที่สองชื่อ ศิขัณฑิน(สิ-ขัน-ทิน) ซึ่ง ศิขัณฑินนี้คือพระนางอำภากลับชาติมาเกิด พระนางอำภาคือลูกสาวราชาแคว้นกาษีที่เคยจะต้องแต่งงานกับภีษมะแต่ภีษมะไม่ ยอมแต่งงานด้วยแถมแฟนเก่าตัวเองก็ไม่ยอมรับอีก พระนางอำภาจึงไปบำเพ็ญศีลที่เทือกเขาหิมาลัยจนตัวเป็นน้ำแข็งแล้วฆ่าตัวตาย ซึ่งกลับมาเกิดเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง ส่วนคนสุดท้ายเป็นผู้หญิง ชื่อ กฤษณา(กริด-สะ-หนา) หรือรู้กันในอีกชื่อหนึ่งว่า พระนาง เทราปตี



ครั้นเมื่อเวลาผ่านไปตัวละครต่างๆก็เติบโตขึ้นตามๆกัน ทั้งพี่น้องเการพและปาณฑพ ลูกของท้าวทรุปัทม์ทั้งสามคน



พอ5พี่ น้องปาณฑพและพระนางกุณตีผู้เป็นแม่หนีการลอบวางเพลิงจากคนของทุรโยชน์มาได้ ก็ซัดเซพเนจรมายังแคว้นปัญจาละ ซึ่งในเวลานั้นแคว้นปัญจาละกำลังมีพิธีให้เจ้าชายแคว้นต่างๆมาประลองกันโดย ใครที่ชนะก็จะยกลูกสาวให้ คือในอินเดียนี่มีประจำ คือจัดแข่งแล้วยกลูกสาวให้ไปเลย ซึ่งทางแคว้นหัสตินปุระก็มีทุรโยชน์ ทุหศาสัน(น้องรอง) และกรรณนะ มาร่วมประลอง ส่วนฝั่งพี่น้องปาณฑพซึ่งอยู่ในระหว่างหลบหนีก็ได้เข้าร่วมประลองแต่ปลอมตัว เป็นพราหม ส่วนวิธีประลองก็ไม่ยากครับ ท้าวทรุปัทม์สั่งให้เตรียยมธนูซึ่งหนักมากและมีเป้าคือปลาที่ห้อยหมุนติ้วๆ อยู่บนยอดไม้ กติกาคือให้ดูเงาในถังใส่น้ำแล้วให้ยิงให้โดนปลา

คือ ให้คำนวณแสงหักเหเอาเอง เจ้าชายยุวกษัตริย์ทั้งหลาย บางคนก็ยกธนูไม่ขึ้น บางคนยกขึ้นแต่ก็ยิงไม่โดน พอยิงกันไมดไม่มีใครยิงได้สักคน อรชุนซึ่งปลอมตัวเป็นพราหมก็เดินออกมา ง้างธนูก้มดูน้ำ ซัดเปรี้ยง
ปลากระเด็น เรียบร้อย เลยได้นางเทราปตีซึ่งใจของท้าวทรุปัทม์เนี่ยไม่อยากได้พราหมเป็นลูกเขยจริงๆ แกอยากได้อรชุนเป็นเขยแต่ไม่รู้ว่าพราหมคนนั้นแหล่ะคืออรชุนปลอมตัวมา พอได้พระนางเทราปตีตกเป็นของอรชุน ก็เกิดรายการฮือสิครับ พวกเจ้าชายยุวกษัตริย์ทั้งหลายต่างก็ไม่ยอม ตุ๊บตั๊บ ชกต่อยสู้กันอยู่พักใหญ่ 5พี่น้องก็อาศัยช่วงชุลมุนแอบหนีไป

user posted image

ส่วน ตัวแม่หรือพระนางกุณตีนั้นก็อยู่ที่บ้าน คือทำงานบ้านกุบกิบไปเรื่อยเปื่อย พอพี่น้องปาณฑพกลับมาถึงอรชุนก็ตะโกนบอกแม่เข้าไปในบ้านว่า "แม่จ๋าพวกลูกกลับมาแล้ว วันนี้พวกเราได้ของดีมีค่ากลับมาด้วย"
พระนางกุณตีซึ่งไม่รู้เหตุการณ์อะไรมาก่อนจึงตะโกนออกไปว่า "ได้ของดีอะไรมา พวกเจ้าต้องแบ่งกันนะ"
ซึ่งสมัยนั้นเรียกได้ว่าคำพูดของแม่คือ วาจาสิทธิ์

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552

มหากาพย์ มหาภารตะ การเล่นสกา การเนรเทศเหล่าปาณฑพ

มาถึงตอนนี้ในพระราชวังของกรุงหัสตินปุระนั้นเต็ม ไปด้วยพระโอรสเล็กๆมากมายวิ่งกันให้วุ่น ซึ่งฝั่ง5พี่น้องปาณฑพคนที่มีกำลังมากที่สุดคือ ภีมะ น้องคนที่สอง ฝั่งของพี่น้องเการพซึ่งมี ทุรโยชน์พี่คนโตนั้นเรียกได้ว่าเป็นคู่กัดกันมาตั้งแต่เด็กเลยทีเดียว เพราะทุรโยชน์แรงน้อยกว่าภีมะ จึงทำให้โดนแกล้งอยู่บ่อยๆ ทุรโยชน์ก็เลยมีความรู้สึกว่าพวก5พี่น้องปาณฑพนั้นคงจะต้องเป็นเสี้ยนตำมือ เป็นหนามตำใจต่อไปในภายหน้าแน่ ทั้งพี่น้อง2ฝั่งจึงเขม่นเป้นเด็กช่างมาตลอด

วันนึงทุรโยชน์จึง แกล้งทำดีชวน5พี่น้องปาณฑพไปเล่นน้ำ พร้อมกับวางยาพิษในขนมด้วย ภีมะซึ่งเวลาเล่นใช้กำลังมากจึงเหนื่อยเป็นพิเศษก็เลยกินขนมที่มียาพิษ มากกว่าเพื่อน ภีมะไม่รู้ตัวกินนเข้าไปพิษแผ่ซ่าน ฝั่งทุรโยชน์และพี่น้องเการพก็ช่วยกันเอาเถาวัลย์มัดภีมะแล้วก็จับถ่วงน้ำซะ เลย

อาจ จะเป้นเรื่องบังเอิญอะไรไม่ทราบได้จุดที่ภีมะถูกถ่วงน้ำนั้นเป็นปากบาดาลก็ เลยไหลลงบาดาลไปซึ่งเป้นที่อยู่ของเหล่าพญานาค พอพวกพญานาคชั้นต่ำ งูเล็กงูน้อยเห็นว่ามนุษย์ที่ไหนไม่รู้ ตุ๊บป่องๆ มาก็เลยรุมฉก จั๊กๆ พอฉกไปฉกมาพิษของพญานาคก็ดันไปล้างพิษอยุ่ในขนม แทนที่ภีมะซึ่งตอนนั้นจะตายก็กลายเป็นพิษล้างพิษภีมะก็เลยตื่นขึ้นมา แถมแถวนั้นหัวหน้าพญานาคชื่อ ท้าววาสุกรี 5เศียร(ท่าวาสุกรี =ท่าพญานาคา) ได้เข้ามาถามความเป้นมาก็ว่าไอ้หนูนี่หลุดมาบาดาลได้ยังไง

สอบ สวนทวนความไปก็เลยทราบว่า ภีมะนั้นเป็นหลานปู่ภีษมะลูกพระแม่คงคา คนกันเองกากี่นั๊งทั้งนั้น ท้าววาสุกรีก็เลยเลี้ยงต้อนรับกันยกใหญ่ซึ่งพญานาคท้าวสุกรีเคยได้ไปเป็น ส่วนสำคัญในการกวนเกษียณสมุทรแกจึงมีน้ำอมฤตส่วนหนึ่งเก็บไว้อยุ่ในคนโฑ แกก็เลยจูงมีภีมะไปยังที่เก็บคนโฑพร้อมกับบอกว่า อยากจะดื่มน้ำอมฤตเท่าไหร่ก็ได้ตามสบายเพราะเอ็นดูอีกทั้งยังสืบพงษ์วงศ์วาน เดียวกัน

ภีมะได้ยินแบบนั้นก็ยกซดน้ำอมฤต อั้กๆ เลยครับ ดื่มไป8คนโฑซึ่งน้ำทิพย์นี้ทำให้มีกำลังมากมายขึ้นซึ่งธรรมดาตัวภีมะเองก็มี กำลังเยอะอยู่แล้วคราวนี้ก็เลยล่ำยกกำลัง8เลย ส่วนพี่น้องอีก4ที่เหลือก็เล่นกันไปเล่นกันมาเล่นไปเล่นมาอ้าวน้องหายก็ เลยกลับวังไปบอกแม่ว่าน้องหายโดยไม่รู้ว่าถูกทุรโยชน์ถ่วงน้ำจนในที่สุดภีมะ ก็ขึ้นมาจากบาดาลแล้วก็กลับวัง พอมาถึงวังก็มาเล่าให้
พระนางกุณตีผู้ เป็นแม่ให้ฟังหลังจากนั้นก็ได้บอกกับเหล่าพี่น้องทั้ง4ว่าให้ระวังตัวให้ดี เพราะทุรโยชน์และพี่น้องฝ่ายเการพหมายจะเอาชีวิต

user posted image
ภีมะน้องสองฝั่งปาณฑพผู้ทรงพลัง

ใน การที่พี่น้องทั้งสองตระกุลนั้นมาอยุ่ด้วยกันท้าวภีษมะผู้เป็นปู่ก็ได้ กฤษปะ (กริด-สะ-ปะ) ถือเป็นอาจารย์ต้น(คนแรก)ของทั้งสองตระกูลสอนกันไปสอนกันหมาจนหมดไส้หมดพู งไม่อะไรจะสอนแล้ว กฤษปะเห็นว่า5พี่น้องฝ่ายปาณฑพนั้นเก่งกว่า100พี่น้องฝ่ายเการพ นัก เหมาะที่จะครองราชบัลลังค์หัสตินปุระ

ในระหว่างที่พวกเด็กๆกำลังเล่น ตีคลี(เหมือนกอล์ฟ-โปโล)อยู่นั้นภีมะได้หวดลูกคลีตกไปในบ่อน้ำ แต่บ่อน้ำอยู่ลึกมากไม่รู้จะเก็บลูกคลียังไงก็พอดีที่มีพราหมณ์คนหนึ่งเดิน ผ่านมาเลยถามว่ามีอะไรหรือ เด็กๆก็เลยตอบไปว่าลูกคลีตกในบ่อน้ำแต่เก็บไมได้ ว่าแล้วพราหมณ์คนดังกล่าวก็ยิงธนูไปปักที่ลูกคลี จั้ก เสร็จแล้วก็ยิงลูกที่สองไปปักท้ายของธนูลูกแรก จั๊ก ยิงไปเรื่อยๆจนลูกธนูต่อยอดถึงปากบ่อแล้วจึงค่อยๆดึงลูกคลีขึ้นมา

เด็กๆ เห็นฝีมือยิงธนูของพราหมณ์คนนั้นก็ถามว่า ท่านพราหมณ์ชื่ออะไรทำไมเก่งจัง พราหมณ์คนนั้นก็บอกไปว่าเจ้าลองไปถามเสด็จปู่ของพวกเจ้าดูเถิดว่าเราเป็นใคร พอเด็กๆกลับเข้าวังไปเล่าเรื่องให้เสด็จปู่ฟังภีษมะก็รู้ได้ทันทีว่าพราหมณ์ ผู้นั้นคือ โทรณะ (โท-ระ-นะ) หรือ โทรณาจารย์(=โทรณะผู้เป็นอาจารย์)

ขอ ย้อนเรื่องราวของโทรณาจารย์สักเล็กน้อยครับ คือสมัยเด็กๆนั้นโทรราจารย์เป็นลูกของฤาษีจนๆคนหนึ่งและโทรณาจารย์ก็ได้ไป ร่ำเรียนวิชาในสำนักซึ่งเป็นธรรมดาของสำนักเรียนสมัยก่อนย่อมต้องมีลูกเจ้า ขุนมูลนายเจ้าชายกษัตริย์มาเรียนด้วยเสมอ เพื่อนสนิทของโทรณาจารย์สมัยเด็กๆที่เรียนวิชานั้นเป็นเจ้าชาย ชื่อ ทรุปัทม์ เป็นลูกของกษัตริย์แคว้นปัญจาละ(ติดกับแคว้นกุรุ-ดูแผนที่กระทู้แรก) เจ้าชายทรุปัทม์ก็บอกว่า " ถ้าอั๊วเป้นใหญ่ได้ครองราชย์เมื่อไหร่ เพื่อนจงมาอยู่กับเราเถิด เราจะเลี้ยงดูปูเสื่อเจ้าเอง เพื่อน...กูรักมึงว่ะ "

โทรณาจารย์ก็ปลาบปลื้มใจ ตั้งจิตไว้ว่าถ้าเรียนจบเมื่อไหร่จะไปทำงานใช้ทุนที่แคว้นปัญจาละ ทีนี้โทรณาจารย์ก็ได้แต่งงานกับน้องสาวของ กฤษปะ ซึ่งเป็นอาจารย์ต้นของเด็กๆทั้งเการพและปาณฑพนั่นเอง โทรณาจารย์ก็มีลูกคนหนึ่งชื่อ อัศวถามา ตัวโทรณาจารย์เองก็เป้นพราหมณ์ยากจนไม่เงินซื้อนมให้ลูก อัศวถามาก็ไปขอนมของเพื่อนๆกินเพื่อนๆของอัศวถามาก็ร้ายเหลือเกินเอาน้ำข้าวมาให้กินแล้วหลอกว่าเป้นน้ำนม

พอ อัศวถามากินพวกเพื่อนๆก็หัวเราะเยาะว่าถูกหลอกให้กินน้ำข้าว อัศวถามา ก็กลับบ้านร้องห่มร้องไห้ โทรณะ ผู้พ่อก็รู้สึกสงสารลูกแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ก็พลันนึกได้ว่าตนมีเพื่อนเป็นเจ้าชายแคว้นปัญจาละนี่หว่า เอาวะ...ลองไปบากหน้าขอความช่วยเหลือดู โทรณะก็เลยดั้นด้นไปขอความช่วยเหลือจากทรุปัทม์ราชาแคว้นปัญจาละ พอไปถึงวังปรากฎว่าทรุปัทม์ไม่ให้เข้าเผ้า แต่ก็ไม่ยอมหมดวัง นอนรอ นั่งรอ หน้าวังจนได้เข้าเฝ้าแต่ทรุปัทม์บอกว่า " เฮ้ยยมึงเป็นใคร กู๊วไม่รู้จัก ไป๊ ชิ๊วๆ "

โทรณะก็แค้นสิครับ แค้นครั้งนี้ฝังแน่นนัก โทรณะก็เลยหันมาเดินทางสู่เมืองหัสตินปุระ จนมาเจอเจ้าชายทั้ง105คนนั่นเองครับ





user posted image
ทุหศาสัน-น้องรองของฝั่งเการพเลว+เจ้าเล่ห์พอๆกับทุรโยชน์พี่ชายคนโต

มหากาพย์ มหาภารตะ กำเนิดเจ้าชาย

เหตุการณ์ผ่านไปอีก20ปี(อีกแระ)ทั้งท้าว ทิตราชย์ตาบอดโอรสองค์โตกับท้าวปาณฑุโอรสองค์น้องที่กายขาวซีด(แบบคนเผือกใน ปัจจุบัน)ทั้งสองได้เติบใหญ่วันฉกรรจ์เพื่อนๆเดาได้มั๊ยครับว่าใครจะได้ขึ้น ครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งหัสตินปุระ ....ท้าวปาณฑุผู้น้องครับเหตุเพราะว่าท้าวทิตราชย์นั้นตาบอดนั่นเอง คือมีร่างกายไม่สมประกอบล่ะว่าง่ายๆ
ท้าวปาณฑุเลยขึ้นครองราชย์แทนพี่ ชาย ครั้งต่อมาท้าวปาณฑุได้อภิเษกสมรสมีพระมเหสีด้วยกันสองพระองค์ เบื้องขวาคือพระนางกุณตี เบื้องซ้ายคือพระนางมัทรี เรื่องยุ่งๆมันเกิดตอนที่ท้าวปาณฑุนั้นออกเสด็จประพาสป่ากับพระมเหสีทั้งสอง ในระหว่างที่เสด็จประพาสป่าล่าสัตว์ก็ได้เห็นกวางตัวผู้กับกวางตัวเมียกำลัง โยก โยก โยก กันอยู่ ท้าวปาณฑุก็ไม่พูดพล่าม(คน)ทำเพลงกันล่ะ พาดธนูน้าวศรปรับศูนย์เล็ง เหนี่ยวโป้ง ทะลุสอง กวางทั้งสองก็ได้คืนร่างกลายมาเป็นพราหมกับพราหมณี(พราหมผู้ชายกับพรา หมผู้หญิง-สงสัยจะแสวงหาอะไรใหม่ๆให้ชีวิตคู่ )

พรา หมผู้ชายก็ได้กระอักออกมาว่า " ฉันเหมือนคนไม่มีกำลัง และหมดแรงจะยืนจะลุกจะเดินไป ฉันเหมือนคนกำลังจะตาย ที่ขาดอากาศจะหายใจ ฉันเหมือนคนที่โดนเธอแทงข้างหลัง แล้วมันทะลุถึงหัวใจ เธอจะให้ฉันมีชีวิตต่อไปหยั่งรายยยยยยยย" .......555 ไม่ใช่ครับอ่ะ อ่ะ ล้อเล่งงงงน๊า

พราหมผู้ชายก็ได้กระอักออกมาว่า " แม้นแต่ว่าเราซึ่งเป็นสัตว์ มนุษย์ก็ยังกระหายเลือด พระองค์ทรงทำแบบนี้ได้อย่างไร "
ท้าวปาณฑุก็บอกว่า " การล่าสัตว์นั้นถือว่าเป้นราชย์กรีฑาเป็นกีฬาอภิสิทธิ์ของกษตัริย์ทั้งหลายทั้งปวง ทำไมเราจะทำไม่ได้ "
ผ่าย พราหมไม่ยอม บอกว่า " ข้าเองไม่เคยไปล่วงละเมิดอะไรท่าน ท่านมาทำกับข้าแบบนี้ไม่สมควร ในฐานะที่ข้าเป็นพราหมข้าขอสาปแช่งท่าน ยามใดที่ที่กำลังสมสู่ตอนนั้นแหล่ะมัจจุราชจะมาเยือนท่าน ไม่ว่าทานจะสมสู่กับมเหสีคนไหนก็ตาม ....อั่กกก อ่ะเห่อะ บัดโซ๊บบบ" แล้วพราหมทั้งคู่ก็ตาย

ท้าวปาณฑุก็เสด็จกลับแค๊มป์แล้วก็ทรงเล่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพระมเหสีทั้งสอง ก็เลยคิดว่าออกบวชเข้าป่าบำเพ็ญศีลตบะเพื่อไถ่โทษดีกว่า พระนางทั้งสองจึงเดินทางออกบวชไปด้วยกันทั้งสามคน ดังนั้นท้าวทิตราชย์น้องผู้ตาบอดก็จึงต้องขึ้นครองราชย์แทนพี่ชาย คราวนี้พอท้าวปาณฑุไปอยู่ในป่าก็มีปัญหาเหมือนกันคือไม่สามารถมีลูกได้ เปรียบไปก็เหมือนตาลยอดด้วน ไม่สามารถออกดอกออกผลได้ก็เผอิญว่าพระนางกุณตีสมัยสาวๆนี่เคยรับใช้ฤาษี รับใช้เป้นอย่างดีจนฤาษีสอนวิชาให้เป็นวิชามนต์เรียกเทวดาได้ก็เลยจะขอเรียก เทวดามาเป็นพ่อเด็กแทน พระนางมัทรีก็บอกว่าถ้าทำได้ตนก็จะขอให้เทวดามาเป้นพ่อของลูกด้วยเช่นกัน

พระ นางกุณตีก็จัดการร่ายมนต์แล้วก็ถามท้าวปาณฑุว่าต้องการจะให้เรียกเทพองค์ใด เป็นองค์แรก ท้าวปาณฑุก็บอกว่าอันดับแรกให้เชิญ ธรรมเทพ ธรรมเทพก็มาปรากฏตัวแล้วก็ประทานลูกให้หลังจากนั้นท้าวปาณฑุก็บอกว่าอยากมี ลูกอีกสักคนจึงได้ให้เชิญ วายุเทพหรือเทพแห่งลมมา หลังจากนั้นก็เชิญ อินทรเทพ (อิน-ทะ-ระ-เทบ หรือ พระอินทร์) มาให้กำเนิดพระโอรสอีกคนหนึ่ง

เสร็จ แล้วพระนางมัทรีเมียคนที่สองก็ขอร้องให้พระนางกุณตีสอนมนต์ให้บ้างเพราะเธอ ก็อยากมีลูกเหมือนกันหลังจากที่สอนมนต์เสร็จพระนางมัทรีจึงได้ เทพอัศวิน เป็นเทพแฝดมี5ตา หัวเป้นม้า ก็เลยได้ลูกแฝด2คน

สรุปพระนางทั้งสองก็ มีลูกกัน5คนโดย3คนแรกเกิดจากพระนางกุณตีกับเทพ3องค์ คือ ธรรมเทพ วายุเทพ และพระอินทร์ ตามลำดับส่วนพระนางมัทรีก็มีลูกแฝดกับ อัศวินเทพแฝด

ซึ่งโอรสทั้ง5ของท้าวปาณฑพก็ประกอบไปด้วย
1.ยุษฐิษฐีระ(ยุด-ทิด-ที-ระ) ซึ่งเป็นโอรสของธรรมเทพ จึงมีนิสัยยึดมั่นในสัจจะพูดคำไหนคำนั้น
2.ภีมะหรือภีมะเสน ซึ่งเป็นบุตรของวายุเทพ นัยตามศักดิ์จริงๆแล้วภีมะนี่ถือว่าเป็นน้องของหนุมานเพราะมีพ่อคนเดียวกันคือวายุเทพ
3.อรชุน (ออ-ระ-ชุน) ซึ่งเกิดจากพระอินทร์ คนนี้นี่สุดยอดเก่งโคตรครับ
4.นกุล
5.สหเทพ

โอรสทั้ง5ของท้าวปาณฑุก็เรียกกันว่าพี่น้องตระกูลปาณฑพครับ

ข้าม มาฝั่งยังพระราชาทิตราชย์ พระราชาตาบอดผู้น้องได้มั๊ยครับพระองค์ก็ได้อภิเษกกับพระนางคานธาลีซึ่งเป็น น้องสาวของ สัตยามหาราชผู้ครองแคว้นมัณฑะละ พระนางคาธาลีก่อนจะเข้าพิธีสยุมพรนั้นได้รับการสู่ขอแบบไม่เคยเห็นหน้าค่าตา กันมาก่อน พระนางคานธาลีจึงได้ให้นางข้าหลวงเอาของไปถวายกับท้าวทิตราชย์พอนางข้าหลวง กลับมาก็ร้องห่มร้องไห้พระนางคานธาลีก็งงจึงถามว่าเป็นอะไรทำไมจึงร้องห่ม ร้องไห้ขนาดนี้ นางข้าหลวงก็บอกว่า " ข้าไปที่วังของท้าวทิตราชย์มา ข้าพระองค์เห็นท้าวทิตราชย์ ท้าวทิตราชย์นั้นสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดีหากแต่ว่าพระองค์นั้นตาบอด!!! "

พระ นางคานธาลีนั้นก็ตกใจถามว่าเป้นไปได้ยังไง มหาราชย์จะตาบอดได้อย่างไร นางข้าหลวงจึงบอกว่าข้าได้ถามมหาดเล็กแล้ว มหาดเล็กบอกว่าพระราชาทิตราชย์นั้นตาบอดมาตั้งแต่เกิด พระนางคานธาลีก็เกิดอาการเซ็งเป็ด ชาวหัสตินปุระนี่หลอกเราซะแล้ว พระนางก็เลยตั้งปฎิธานโดยจะเอาผ้าปิดตาไปตลอดชีวิตแล้วก็เข้าพิธีอภิเษกกับ พระราชาทิตราชย์ เมื่อท้าวทิตราชย์กับพระนางคานธาลี คิมูจิ๊กันแล้วพระนางคานธาลีก็เกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา แต่ครรภ์ของพระนางไม่ธรรมดา เพราะมันใหญ่โตมากท้องอยู่2ปี

พระ นางคานธาลีก็เลยสั่งให้นางข้าหลวงเอาฆ้อนเหล็กทุบไปที่ท้องพร้อมกับบอกว่า นี่เป็นวิธีช่วยให้ประสูติการ นางข้าหลวงก็ซัดโครมเข้าที่ครรพ์ของพระนางคานธาลี ทีแรกยังไม่ออก ซัดต่ออีกสองที จนในที่สุดพระนางคานธาลีก็คลอดออกมาเป็นก้อนเนื้อก้อนเบ้อเร่อเลย
พระนาง คานธาลีก็ถามว่าเป้นไงมั่ง นางข้าหลวงก็บอกว่าทรงคลอดออกมาเป้นก่อนเนื้อแข็งมาก และเย็นเฉียบ พระนางคานธาลีจึงรับสั่งให้เอาก้อนเนื้อนั้นไปทิ้งสระ

พอนางข้าหลวง จะเอาก้อนเนื้อไปทิ้งสระก็ได้มีฤาษีเข้ามาขวางแล้วบอกว่า หยุดก่อนไม่ต้องตกใจ ยังไม่ต้องเอาไปทิ้งให้เอาก้อนเนื้อนั้นเอามาแล่เป้นชิ้นๆ 100 ชิ้น เอาชิ้นแต่ละชิ้นไปใส่หม้อดินแล้วเอาน้ำบริสุทธิ์พรมลงไป ก้อนเนื้อทั้งร้อยชิ้นก็จะกลายเป้นกุมาร เท่ากับว่าพระนางคานธาลีนั้นท้องอยู่2ปีพอคลอดทีนึงก็มีลูกร้อยคนแบ่งภาค เป็นโปรโตซัวเลย ลูกคนแรกที่คลอดนั้นพอเกิดมา หมาหอนทั้งเมืองแร้งการ้องลั่นพระนคร

กุมาร องค์โตนี้ ชื่อ ทุรโยชน์ ซึ่งยากที่ใครจะเอาชนะได้ ท้าวทิตราชย์ได้ยินเสียงนกกาแร้งหมาร้องลั่นระงมทั้งเมืองก็ตกใจวิ่งไปถาม ท้าวภีษมะผู้เป็นลุงว่า เกิดอะไรขึ้น ท้าวภ๊ษมะก็บอกว่านี่เป็นเหตุอุบาทว์ของลูกชายเจ้าซึ่งเกิดมาพร้อมกับความ จัญไร นำมาซึ่งเสนียดแก่หัสตินปุระ ภีษมะจึงบอกให้ท้าวทิตราชย์เอาลูกไปฆ่าทิ้งเสียทั้งหมด แต่ท้าวทิตราชย์กับพระนางคานธาลีไม่ยอมจึงฝืนเลี้ยงโอรสทั้ง100 คนเรื่อยมา

พี่น้องทั้ง100คนนั้นก็คือ พี่น้องตระกูลเการพ นั่นเอง

สำหรับ ลูกชายทั้ง5ของท้าวปาณฑุนั้นก็ได้ถูกอัญเชิญกลับเข้ามาในวังโดยกลับมาพร้อม กับพระนางกุณตีมเหสีคนแรกเพื่อนที่จะได้มาดูแลลูกทั้ง5 สำหรับท้าวปาณฑุก็อยู่ป่ากับพระนางมัทรี คืนหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ อากาศยามค่ำคืนเป็นใจเสียเหลือเกิน ท้าวปาณฑุก็เริ่มเขี่ยบอลบอกกับพระนางมัทรีว่า "คืนนี้พี่ขอ" พระนางมัทรีก็บอกว่าลืมไปแล้วหรือว่าพระองค์ถูกพราหมสาปไว้ ว่าถ้าคิมูจิ๊เมื่อไหร่พระองค์จะต้องตาย ท้าวปาณฑุก็บอกว่าข้ารู้แต่เมื่อเห้นน้องในยามนี้ข้าต้องการความสุขจากรสรัก มากกว่าจะมีชีวิตอยู่ ไม่อะไรเกิดขึ้นหรอกอย่าห่วง ท้าวปาณฑุระหว่างที่กำลังคิมูจิ๊นั้นก็ตายตามคำสาปของพราหม พระนางมัทรีก็เลยทำ พิธีสตี คือโดดเข้ากองไฟตายตาม

ตอนนี้ในหัสตินปุ ระนั้นก็เต็มไปด้วยโอรสของท้าวทิตราชย์กับพระนางคานธาลี 100 คนกับโอรสของท้าวปาณฑุกับพระนางกุณตีและมัทรีอีก5 คน วิ่งกันในวังให้เจี๊ยวจ๊าวไปหมด ซึ่งเหตุการณ์ต่อไปก็จะเริ่มเป็นความขัดแย้งของทั้งสองตระกูลในเวลาต่อมา


user posted image
ท้าวทรุโยชน์จากบทละคร

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

มหากาพย์ มหาภารตะ

มหาภารตะ นับเป็นหนึ่งในสองของมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ของอินเดีย อีกเรื่องคือ รามายณะ โดยประพันธ์เป็นโศลกภาษาสันสกฤต

ตาม ตำนานเล่าว่าผู้แต่งมหากาพย์เรื่องนี้คือ ฤๅษีกฤษณะ ไทวปายนะ วยาสะ นับเป็นมหากาพย์ที่ยาวที่สุดในโลก มีเนื่อหาซับซ้อน เล่าเรื่องอันยืดยาวที่เกี่ยวข้องกับปกรณัม และหลักปรัชญาของอินเดียโบราณ ทั้งนี้ยังมีเรื่องย่อยๆ แทรกอยู่มากมาย เช่น ภควัทคีตา ทมยันตี ทั้งนี้ ถือว่าเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญของศาสนาฮินดูด้วย

ใน ภารตะนี้จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับมหาสงครามใน ชมพูทวีประหว่างฝ่ายพี่น้อง เการพ (มาจากคำว่า กุรุ) กับฝ่ายพี่น้อง ปาณฑพ (อ่านว่า ปาน-ดบ มาจากชื่อ ปาณฑุ ผู้เป็นบิดา)

เรื่องราวของมหากาพย์มหาภารตะนี้จะเป็นเช่นไร ขอจงติดตามได้ ณ บัดนี้


บรรพ์ที่1 อาทิบรรพ - บทนำ การกำเนิดเจ้าชายต่างๆ

ย้อน ไปเมื่อสมัยนานมาแล้วมีพระราชพระองค์หนึ่งซึ่งชอบล่าสัตว์มากได้ออกประพาส ป่าล่าสัตว์ครั้งพอตอนกลางวันล่าสัตว์อย่างเหนื่อยอ่อน ตกตอนกลางคืนเวลาบรรทมก็ได้ทรงพระสุบิน(ฝัน)ว่าได้มาsomethingหรือกามกรีฑา กับพระมเหสีซึ่งในฝันนั้นพระองค์ทรงแช่มชื่นมาก
จนกระทั่งถึงจุดสุดยอดเลย เรียกภาษาบ้านๆว่าฝันเปียกนั่นแหล่ะครับ

พอ ทรงตื่นขึ้นมาพบคราบอสุจิของตัวเองบนใบไม้ก็สั่งให้ขุนนางบอกว่า"เจ้าจงเอา อสุจินี้ไปให้มเหสีของข้า" แต่ขุนนางนั้นถ้าจะเดินทางไปส่งเองก็อาจจะช้าจึงได้ใช้บริการAir mail ส่งทางอากาศคือเรียกพญาเหยี่ยวให้เอาอสุจินี้ไปให้พระมเหสีที่พระราชวัง แต่ระหว่างทางพญาเหยี่ยวเกิดเจอกับพญานกใหญ่จึงได้ไล่จิกไล่ตีกันจนทำให้น้ำ อสุจินั้นหล่นลงไปในน้ำพอหล่นลงไปปลาก็มาตอดกินซึ่งปลาตัวที่ตอดกินอสุจิไป นั้น ก็เกิดอาการตั้งท้องขึ้นมา

ต่อมาปลาตัวนั้นก็ถูกชาวประมงจับไป เลี้ยง เลี้ยงไปเลี้ยงมาปลาก็โตขึ้น โตขึ้น เด็กในท้องก็โตตามตัวปลา พอมาวันนึงชาวประมงจะเอาปลาไปทำอาหารครั้นเมื่อผ่าท้องปาออกมาก็ได้เจอกับ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในท้องปลาตัวนั้น ชาวประมงจึงรับเอาเด็กผู้หญิงเป็นลูกด้วยความรักแต่มีลักษณะประหลาดอยุ่ อย่างนึงคือเด็กคนนี้แม้ว่าตัวเป็นคน หน้าตาสวยสด แต่มีกลิ่นคาวปลาแรงมากจนไม่มีใครมาจีบ

ครั้นเมื่อกุมารีคนนี้โตขึ้น จึงได้ชื่อว่า สัตยวดี วันนึงมีฤาษีองค์หนึ่งชื่อ ฤาษี ปราษร(ปะ-รา-สอน)ได้พายเรือมาริมฝั่งทะเลบริเวณที่ชาวประมงกับนางสัตยวดี อาศัยอยู่พอฤาษีได้รู้เรื่องจึงได้บอกกับ สัตยวดีไปว่า ถ้ายอมร่วมสังวาสกับตนกลิ่นกายของนางจากเหม็นคาวปลาจะปลิ่นเป้นหอมหวลทันที คราวนี้นางสัตยวดีต้องตัดสินใจว่าจะเอาไงดี คิดไปคิดว่าเอาวะไหนๆก็ไหนๆแล้วคงไม่เป็นไร ก็ตกลงปลงใจมีsomethingกับฤาษี พอมีกุบกิบคิมูจิ๊กับฤาษีปราษรแล้วก็ได้อยู่กินกันมาได้ระยะหนึ่งแล้วฤาษี ปราษรก็จากไปนางสัตยวดีจึงได้เดินทางกลับหมู่บ้านที่ตนอาศัยอยู่ กลิ่นนางจากเดิมที่เหม็นก็กลายเป็นหอมแถมนางยังตั้งครรภ์จนคลอดเด็กออกมาเป้ นผู้ชายชื่อ วยาส(วะ-ยาด)หรือ(วะ-ยา-สะ)


ตัดภาพมาอีกเมืองหนึ่ง ชื่อเมือง หัสตินปุระ(หัด-สะ-ติน-ปุ-ระ) มีท้าวศานตนุ(สาน-ตะ-นุ) มหาราชย์ครองนครนี้อยู่ มาวันนึงพระองค์ได้เดินทางเสด็จมายังริมฝั่งน้ำจนได้พบกับนางอัปสรคนหนึ่ง ซึ่งสวยมากจนรู้สึกปิ๊งขึ้นมาทันทีแต่พระองค์ไม่รู้ว่า นางอัปสรนั้นคือพระแม่คงคา พอท้าวศานตนุเห็นจึงขอเอ่ยปากแต่งงานกับนาง แต่นางอัปสรนั้นมีข้อแม้กับศานตนุ3ข้อซึ่งถ้าท้าวศานตนุให้คำสัตย์กับเธอได้ เธอจะยอมอยู่กินด้วย โดยคำขอทั้งสามคือ

1.ขออย่าทรงขัดขวางอะไรที่นางทำ แม้ว่าไม่เห้นด้วยก็ตาม
2.อย่าโกรธในสิ่งที่นางทำลงไป
3.อย่าถามหาเหตุผลในสิ่งที่นางทำ

เมื่อ ได้ยินดังนั้นท้าวศานตนุก็บอกว่า okจัดให้ ไม่มีปัญหา ดังนั้นนางอัปสรดังกล่าวก็จึงตกลงไปอยู่กินกับท้าวศานตนุที่หัสตินปุระ ครบ9เดือนผ่านไปนางอัปสรซึ่งก็คือพระแม่คงคาได้ให้กำเนิดกุมาร คนแรก พอคลอดเสร็จนางอัปสรก็กอดลูกแล้วบอกว่า แม่รักลูกนะ พูดจบก็โยนลูกลงน้ำจนจมน้ำตาย ท้าวศานตนุทำอะไรไมได้เพราะได้ให้คำสัตย์กับนางอัปสรไว้แล้วพอปีต่อมานาง อัปสรก็ได้ให้กำเนิดกุมารอีกแล้วนางก็ทำแบบเดิม คือจับลูกที่เพิ่งเกิดโดยนถ่วงน้ำ

ทำ แบบนี้ปีแล้วปีเล่าถึง7ปี คือลูกตายไป7คนแล้ว จนย่างเข้าปีที่8พระแม่งคงคาก็จะทำเหมือนเดิม คราวนี้ท้าวศานตนุทนไม่ไหวแล้วก็ได้เอ่ยปากถามนางอัปสรไปว่า ทำไมเธอถึงทำแบบนี้ ทำไมถึงต้องฆ่าลูกของเราทุกครั้ง!!!!

นางอัปสร ที่แต่งงานกับท้าวศานตนุก็บอกว่า " จริงๆแล้วหม่อมฉันคือคงคา เทวีแห่งสายน้ำสิ่งที่หม่อมฉันทำลงไปนั้นไม่ได้ต้องการที่จะสังหารกุมารทั้ง 7หากแต่ว่าต้องการจะสงเคราะห์เพราะชาติก่อนกุมารทั้ง8นั้นเป็นเทวดา แต่ว่าเทวดาทั้ง8นั้นไปขโมยโคของฤาษีจนถูกสาปให่ลงมาเกิดที่โลกมนุษย์ หม่อมฉันเลยรับอนุเคราะห์ให้กำเนิดเทวดาทั้ง8เองคือเมื่อเกิดแล้วก็ฆ่าทิ้ง เสียเพื่อที่จะได้กลับไปเกิดยังสวรรค์ได้ทันที" แล้วพระนางคงคาก็ได้ทวงคำสัญญากับท้าวศานตนุว่า " พระองค์จำได้มั๊ยว่าทรงเคยสัญญาอะไรไว้ บัดนี้พระองค์ผิดคำสัญญา หม่อมฉันก็ขอลาพระองค์ซะทีซึ่งกุมารคนที่8นี้หม่อมฉันจะเอาลงไปเลี้ยงเอง " เสร็จแล้วนางก็เดินหายไปในสายน้ำ ...

20ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก 20ปีที่ท้าวศานตนุไมได้อยู่กินกับพระแม่คงคา วันดีคืนร้ายอะไรไม่ทราบได้ ขณะที่ท้าวศานตนุกำลังเสด็จอยู่ริมฝั่งน้ำก็ได้เกิดระลอกคลื่นยักษ์ขึ้นมา จากริมแม่น้ำ จากนั้นก็มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินขึ้นมา พระองค์ก็รู้ได้ด้วยสัญชาติญาณว่าชายหนุ่มคนนี้แหล่ะคือลูกของพระองค์ที่พระ แม่คงคาเอาไปชุบเลี้ยงที่บาดาลเมื่อ20ปีที่แล้ว แล้วผู้หญิงที่มาด้วยก็คือพระแม่คงคานี่เอง แล้วพระแม่คงคาได้บอกกับท้าวศานตนุขึ้นมาว่า มานพหนุ่มนี้คือลูกชายคนที่8ของพระองค์กับนางนั่นเอง

มานพหนุ่มนี้ ชื่อ ภีษมะ (พี-สะ-มะ) นางได้ให้ภีษมะร่ำเรียนสรพวิชาต่างๆโดยมีครูเป็นพระฤหัสบดี ทำให้ภีษมะเก่งเรื่องการรบมากและวันนี้เป็นโอกาสดีที่นางจะถวายลูกคืนแก่ พระองค์ ท้าวศานตนุได้ยินดังนั้นก็ดีใจพาภีษมะกลับบ้านกลับเมืองพร้อมทั้งได้จัดให้ มีงานเฉลิมฉลองเคาท์ดาวน์กันอย่างเอิกเกริก ค่ำคืนของงานเฉลิมแลองนั้นท้าวศานตนุก็ได้บอกกับภีษมะว่าต่อไปภายภาคหน้าจะ ให้ภีษมะขึ้นครองราชย์แทน

ท้าวความไปก่อนว่าช่วง20ปีที่ท้าวศานตนุ ครองตัวเป้นโสดมานี้ พระองค์ก็ไมได้มีsomethingกับใครหรือแต่งงานกับหญิงอื่นเพราะพระองค์เป็นคน รักเดียวใจเดียว จนกระทั่งวันนึงพระองค์ได้เดินทางผ่านแม่น้ำ(อีกแล้ว)แล้วได้กลิ่นหอม มมประหลาดอบอวลอยู่ก็ตามกลิ่นไปจนเจอหญิงสาวคนหนึ่ง จำได้ม๊ยครับว่าใคร ...... นางสัตยวดีเด็กหญิงในท้องปลาไงครับ

คราว นี้ท้าวศานตนุเกิดอดใจไม่ไหวห้ามอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ love at first smell ทีเดียว ถึงกับลงทุนคุกเข้าอ้วนอวนนางสัตยวดีว่าให้ไปอยู่กินกับกระองค์ที่วังเถิด ....คุณแม่ ของร้องงงงง
แน่นอนครับนางสัตยวดีไม่ใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือย มีทั้งลูก มีทั้งพ่อชาวประมง นางจึงบอกท้าวศานตนุไปว่า ให้ไปตกลงกับพ่อซึ่งเป็นชาวประมงเอาเองพ่อว่ายังไงนางก็จะทำตาม

user posted image
ท้าวศานตนุกับนางสัตยวดี(pic from wikipedia)

ท้าว ศานตนุได้ยินดังนั้นก็เดินทางไปหาพ่อของนางสัตยวดีซึ่งเป็นชาวประมงอยู่ พอเจอตัวก็ได้บอกไปว่าพระองค์ทรงต้องการนางสัตยวดีมาเป็นมเหสี ทางชาวประมงก็ได้บอกว่า ข้าพระองค์ก็ไมได้ขัดข้องอะไรแต่ข้าพระองค์จะขอคำสัตย์ซึ่งถือเป็นของหมั้น สักข้อนึง คือ บุตรที่ซึ่งเกิดกับนางสัตยวดีกับพระองค์ต้องขึ้นครองราชสมบัติ ท้าวศานตนุทรงได้ยินแบบนั้นก็ได้บอกว่าเราคงตกลงไม่ได้เพราะเราได้ให้คำ สัตย์ต่อภีษมะลูกเราไว้แล้วว่าจะให้ภีษมะครองราชย์ชาวประมงจึงบอกว่างั้น พระองค์ก็จงทรงกลับเมืองแล้วลืมนางสัตยวดีซะดีกว่า

ระหว่างที่กำลัง คุยกัน เจ้าชายภีษมะซึ่งได้ยินอยู่ก่อนแล้วก็ได้เดินเข้าไปบอกกับชาวประมงว่าให้ชาว ประมงยกลูกสาวให้ท้าวศานตนุเถอะ " เพื่อให้เสด็จพ่อมีความสุข ข้าจะปฎิญาณตนว่าถ้านางสัตยวดีมีบุตรขึ้นมาเราจะให้เป็นกษัตริย์แทนเรา" ชาวประมงก็ถามเจ้าชายภีษมะกลับว่า " ถึงพระองค์(ภีษมะ)จะไม่ขึ้นครองราชย์แต่เมื่อพระองค์ทรงมีโอรสแล้วพระองค์จะ ทำอย่างไร ถ้าพระโอรสของพระองค์ทรงเติบโตขึ้นแล้วต้องการจะครองราชย์ ใครจะกล้าขัดขวาง "

ภีษ มะก็บอกกับชาวประมงไปว่า " เราผู้มีนามว่าภีษมะขอปฎิญาณตนอีกว่า จะขอเสื่อมซึ่งสมรรถนะทางเพศจะเป็นเอกบุรุษ สละซึ่งความยินดีในสตรีเพศ " แนวๆว่าเป็นหมันกันเลยทีเดียว พอพูดเสร็จก็ได้เกิดเสียงแซ่ซ้องสาธุการมีดอกไม้โปรยปรายลงมาจากสวรรค์แสดง ให้เห็นว่า เทพดาต่างยกย่องภีษมะในการเสียสละครั้งนี้พร้อมทั้งให้พรว่า ตราบใดที่ภีษมะไม่ต้องการจะสิ้นพระชนม์ก็จะไม่มีใครมาฆ่าพระองค์ได้

เมื่อภีษมะให้คำสัตย์แบบนั้นชาวประมงก็ตกลงยกนาง สัตยวดีให้ท้าวศานตนุไปอยู่กินในราชวังดำเนินการผ่านไป20ปี พระราชาศานตนุได้มีลูก2คนกับนางสัตยวดี องค์แรกชื่อ จิตตรางคหะ องค์ที่สองชื่อ วิจิตรวีรยะ สำหรับจิตตรางคหะนั้นได้ขออาสาพระบิดาคือท้าวศานตนุไปสู้รบกับคนธรรพ์ต่อมา ได้สิ้นพระชนม์ในสนามรบ เจ้าชายวิจิตรวีรยะผู้น้องจึงขึ้นครองราชย์หลังจากที่ท้าวศานตนุสิ้นพระชนม์ แทน

ภาพตัดมายังแคว้นกาษี ซึ่งพระราชาแคว้นนี้มีลูกสาวด้วยกันสามคนคือ พระนางอำภา พระนางอำภิกา แล้วก็พระนางอำภาลิกา พระราชาอยากให้ลูกสาวได้แต่งงานซะทีจึงได้จัดพิธีรากษสวิวาหะ(ราก-สด -วิ-วา-หะ) คือเชิญเจ้าชายจากเมืองต่างๆมาทำศึกเพื่อแย่งนาง เรียกง่ายๆว่าจะยกลูกสาวให้กับคนที่เก่งที่สุด ทางแคว้นหัสตินปุระที่เจ้าชายวิจิตรวีรยะครองราชย์อยู่ก็จำต้องส่งคนไปทำศึก ด้วยแต่ติดที่ว่าเจ้าชายวิจิตรวีรยะนั้นยังอ่อนด้อยประสพการณ์ในการรบอยู่ ภาระหน้าที่จึงตกเป็นของท้าวภีษมะไปรบแทน ครั้นเมื่อไปรบภีษมะซึ่งเก่งกาจอยู่แล้วก็ได้ชนะในการรบ จึงต้องพาเจ้าหญิงทั้งสามกลับหัสตินปุระด้วย

แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเจ้า ชายภีษมะนั้นเคยให้คำสัตย์ไว้ว่าจะไม่แต่งงานแถมเจ้าหญิงอำภาลูกคนโตเองนั้น ก็มีคนรักอยู่แล้ว จึงได้บอกกับท้าวภีษมะว่า " เราจะขอกลับไปหาคนรักเดิม" เจ้าชายภีษมะก็ตกลงเพราะสงสาร ครั้นพอพระนางอำภากลับไปหาคนรักเดิมของตนแล้วบอกว่ากับเจ้าชายคนรักว่า " เจ้าชายภีษมะนั้นมอบอิสระให้แก่เราแล้วเรามาแต่งงานอยู่กินกันเถิด " ฝ่ายเจ้าชายคนรักเดิมก็บอกว่า " เราพ่ายแพ้ในการทำศึกแล้วคงจะแต่งกับนางไม่ได้เพราะเสมือนว่าเราไม่มี เกียรติ แพ้ก็คือแพ้ ขอให้พระนางอำภาลืมตนซะแล้วกลับหัสตินปุระไปหาเจ้าชายภีษมะดีกว่า "

เอาล่ะสิ ทำไงดีหว่า พระนางอำภาจึงต้องกลับไปหาท้าวภีษมะอีกครั้งแล้วบอกว่าเจ้าต้องรับผิดชอบเรา ด้วยการแต่งงานเพราะคนรักเก่าของเราไม่สนใจใยดีเราแล้ว ส่วนฝ่ายท้าวภีษมะนั้นก็เคยได้ให้คำสัตย์ไว้แล้วว่าจะไม่แต่งงานก็ไม่ยอม พระนางอำภาก็โกรธมากเพราะจะเมืองไหนก็ไม่มีใครรับ พระนางจึงตัดสินใจออกจาริกแสวงบุญพร้อมทั้งกับตั้งสัตย์ไว้ว่าจะหาคนมาฆ่า ท้าวภีษมะให้ได้ พระนางบำเพ็ญตนอยู่บนเทือกเขาหิมาลัยจนตัวเป้นน้ำแข็ง สุดท้ายก็โดดเข้ากองไฟตาย

แถมช่วงนี้หัสตินปุระซึ่งปรกครองโดยพระ ราชาวิจิตรวีรยะนั้นกลับมาสิ้นพระชนม์เอาแต่อายุยังน้อยท้าวภีษมะจะขึ้นครอง ราชย์เองก็ไม่ได้จึงต้องจัดพิธีนิโยก คือหาคนมามีคิมูจิ๊ เพื่อให้เกิดลูกก็คิดกันไปคิดกันมาไม่รู้จะเอาใครมามีsomething ดีเพราะถ้าเอาคนนอกวงศ์มาก็ไม่ได้ จนกระทั่งคิดได้ว่าพระนางสัตยวดีแม่เลี้ยงของภีษมะนั้น ครั้งนึงเคยมีลูกกับฤาษี ลูกคนแรกของนางสัตยวดีนั้นคือ วยาส ซึ่งไปบำเพ็ญตนเป็นฤาษีก็เลยตกลงว่าให้ฤาษีวยาสนี่ทำพิธีนิโยกสมสู่ พระนางอำภาลิกาและพระนางอำภิกาแทน

โดยให้พระนางอำภิกาเริ่มพิธีเป็น คนแรก พอพระนางอำภิกาเห็นฤาษีวยาสก็ต๊กใจในความแก่ของฤาษีวยาสถึงกับนอนหลับตาไม่ กล้ามองระหว่างนั้นฤาษีวยาสก็ ป้าบๆๆ ไปด้วย พอป้าบๆๆ เสร็จฤาษีวยาสก็ถามว่า " ที่นางหลับตานี่เพราะกลัวที่จะเห็นรูปร่างอันเหี่ยวย่นใช่มั๊ย " พระนางอำภิกาก็ไม่ตอบ ฤาษีวยาสก็บอกว่า " ลูกที่จะเกิดต่อไปนี้ให้ชื่อว่า ทิตราชย์(ทิ-ตะ-ราด) แต่ในระหว่างที่กำลังมีอะไรกันนั้นนางไม่ยอมลืมตาก็จะสาปให้ทิตราชย์นั้นตาบ อด!! "

ส่วนพระนางอำภาลิกาน้องคนสุดท้องได้เข้ามาเจอฤาษีวยาสก็ ตกใจเหมือนกัน ตกใจไมได้หลับตาแต่กลัวจนตัวขาวซีดเพราะขยะแขยง ฤาษีวยาสก็ถามว่า " ทำไมเจ้าตัวซีดนักกลัวข้าหรือ? " พระนางอำภาลิกาก็ไม่ตอบ ฤาษีวยาสก็เลยเข้าไป ป้าบๆๆ ต่อเป็นคนที่สอง แล้วก็บอกว่า " ลูกที่จะเกิดคนที่สองนั้น จะชื่อว่า ปาณฑุ (ปาน-ทุ)แต่ในเมื่อเจ้ากลัวข้าจนตัวซีดข้าก็จะสาปให้ ปาณฑุนั้นตัวขาวซีดเผือก "

ซึ่งในเวลาต่อมา ท้าวทิตราชย์ก็คือต้นกำเนิดของพี่น้องเการพ ส่วนท้าวปาณฑุก็เป็นต้นกำเนิด พี่น้องฝ่ายปาณฑพ นั่นเอง

ตำนานครุฑ กับ นาค

เวนไตย อ่านว่า เว นะ ไต แปลว่า ลูกของนางวินตา หมายความว่า ครุฑ ด้วย เป็นพญาวิหค เจ้าแห่งนกทั้งปวงด้วย
เริ่ม เรื่องที่ผู้แม่นางวินตา ที่เป็น ๑ ในชายาจำนวนมากมายของพระฤษีกัศยป และมีน้องสาวชื่อว่า กัทรู หรือ สรุสา (ซึ่งก็เป็นชายาด้วยเหมือนกัน)
ทั้งสองพี่น้อง ครั้งหนึ่งคอยดูแลพระฤษีกัศยปเทพบิดร จนเป็นที่พอใจ และได้ให้พรแก่ทั้งสองนาง
ฝ่ายน้องสาวได้ขอพรก่อน โดยขอไว้ว่า
“ข้าพเจ้าขอมีบุตรเป็นนาค ๑๐๐๐ ตัว มีฤทธิ์ร้ายแรง และแปลงได้ได้สารพัด ดังใจนึก”
พระมุนีฤษีก็ให้พรนั้นแก่ชายาไป
ฝ่ายนางวินตานี่สิ
“ข้าพเจ้าของมีบุตรเพียง ๒ แต่ขอให้มีเดชล้นฟ้า หาผู้ใดเสมอมิได้ จงมีชัยชนะเหนือนาคทั้งหลาย ทุกเมื่อ...”
พระเทพบิดรก็ให้พรไป และพูดกลับแก่นางวินตาเหมือนรู้ทันว่า
“เจ้า จะได้พรดังขอ แต่เจ้าของพรด้วยจิตริษยาต่อน้องของเจ้า เจ้าได้ผูกเวรขึ้นมาแล้ว และมันจะทำให้เจ้าตกระกำ ยากลำบากมากมายจนเลือดตากระเด็น แต่อย่างไรเสีย เจ้าจะพ้นทุกข์เวรนี้ได้เพราะบุตรของเจ้า ผู้เป็นลูกกตัญญู”

กล่าวจบ พระฤษีกัศยป ก็ขึ้นสวรรค์ไปช่วยพระอินทร์กวนน้ำทิพย์
ไม่นานทั้ง ๒ พี่น้อง ก็คลอดบุตรออกมาเป็นไข่ ฝ่ายนางกัทรู ได้เป็นไข่ ๑๐๐๐ ฟอง และนางวินตาออกมาเพียง ๒ ฟอง

เวลา ผ่านไป ๕๐๐ ปี ไข่นางกัทรูแตกออกมาเป็นนาคทั้งหมด บังเกิดความอิจฉาแก่ผู้พี่เสมอ ยามที่ได้เห็นแม่ลูกฝ่านน้องเหย้าหยอกกันอย่างมีความสุข จนทำให้ตบะแตกลงทุน ทุบ ไข่ฟองแรก ปรากฏว่ามีกุมารอยู่ในนั้นคนหนึ่ง แต่มีร่างกายแค่ท่อนบน คือ พระอรุณ

พระอรุณ เห็นแม่ทำดังนั้นก็โกรธมาก สาปแม่ทันทีว่า “ดูก่อน แม่ช่างทำแก่ข้าได้ ข้ามีร่างการครึ่งตัวเช่นนี้เพราะความขาดสติแท้ ๆ นับแต่นี้ไป แม่จงตกเป็นทาสของนางกัทรู และพวงนาคทั้งหลาย จะต้องทนทุกข์เวลาช้านาน หาความสุขมิได้” (T T สงสารนางวินตาจัง)

แต่ในที่สุดก็สงสาร เพราะความจริงที่ว่านางวินตาก็คือแม่ของตน จึงลดคำสาปลง
“อีก ๕๐๐ ปี ไข่อีกฟองจะแตกออก และเขาจะเป็นผู้ช่วยแม่ออกจากทุกข์นี้เอง”
กล่าว จบ ก็ลอยขึ้นไปนภาไปเป็นสารภีให้พระอาทิตย์ พระอรุณผู้มีร่างกายใหญ่โต ขนาดมีเพียงครึ่งเดียว ก็สามารถบังแสงของพระอาทิตยได้ ลดแสงเป็นสีแดงอ่อน ๆ จึ่งเรียกแสงอาทิตย์แรกจับขอบฟ้าว่า...แสงอรุณ นั้นเอง
และถึงคราวที่ นางวินตาจะกลายเป็นไปตามคำสาปก็มาถึง นางไปพนันกับน้องสาวแพ้ เรื่องสีของขนม้าอุจไรศรพ (ม้านี้ออกมาจากการกวนน้ำทิพย์) ว่ามีสีอะไร นางวินตาจำได้ว่าเป็นสีขาวทั้งตัวม้า จึงตอบไปว่าสีขาว

ฝ่ายน้องสาวคิดทางต้องชนะ เพราะผู้แพ้จะต้องตกเป็นทาสของอีกฝ่าย นางจึงโกง
โดยให้ลูก ๆ นาคทั้งหลายแปลงกายไปเป็นเส้นขนหางม้าสีดำ

นางวินตาจึงแพ้ และตกเป็นทาสตามคำสาป

นาง วินตาถูกใช้งาน ทำงานหนักสารพัดเช้ายันเย็น ทุกข์อยากแสนสาหัส หาความสุขมิได้ (เห็นไหมการพนัน ไม่ดี ๆ) จนในที่สุด ไข่อีกฟองก็ครบอายุ ๑๐๐๐ ปี และ แตกออก เย้...

ปรากฏเป็นร่างนกยักษ์แสนสง่า ร่างกายมหึมา สว่างไสวกว่าแสงพระอาทิตย์ ๑๐๐ เท่า ได้บินขึ้นสู่เวหา จนถึงทางโครจรแห่งสูรยาทิตย์ รัศมีอันมหาศาลรุ่งโรจน ทำให้ทวงเทพแตกตื่นกันเสียไม่มี รีบลนลานไปเข้าเฝ้าพระอัคนิเทพถามหาที่มา ที่ไป

พระอัคนีก็อธิบายว่า แสงนี้เป็นแสงรัศมีแห่งบุตรของพระฤษีกัศยปเทพบิดรด้วยพรอันประเสริฐ

ทวยเทพทราบดังนั้นจึงมาขอร้อง ให้มหาวิหคโปรดลงรัศมีลงหน่อยเถิด
พญานกก็ยอมทำตามด้วยใจอันเมตตา และบินกลับมาหามารดาของตน
อัน ได้ชื่อว่า แม่เป็นทาส ลูกก็ย่อมตกเป็นทาสในเรือนเบี้ยเช่นนั้น เมื่อพญาเวนไตย ทราบถึงความเป็นอยู่อันทุกข์ตรมของมารดา ก็เศร้าใจหนักหนา คิดหาทางช่วยตลอดเวลาแต่ยังไม่ประสบโอกาส

วันหนึ่ง นางกัทรู อยากเดินทางไปยัง เกาะรามณียกะ ที่กลางสะดือทะเล โดยนางวินตาแบกนางกัทรู และเวนไตยแบกนาคทั้ง ๑๐๐๐

ด้วยความเกลียดชัง จึงแกล้งบินขึ้นฟ้าไปสูง ๆ ไปสูงลิบจนเข้าใกล้สายโคจรของพระเทวาอาทิตย์เกินไป นาคทั้งหลายพากันสลบไปหมด

แม่นาคทั้ง ๑๐๐๐ เห็นดังนั้นก็สวดมนต์อ้อนวอนพระอินทร์ พระอินทร์จึงบัลดาลฝนตกห่าใหญ่ ทำให้นาคทั้งหลายฉุ่มฉ่ำ ฟื้นขึ้นมาทั้งหมด

จุดนี้เอง พญาเวนไตย จึงผู้ใจเจ็บกับท้าววัชรินทร์เป็นต้นมา

เมื่อถึงที่สุดแห่งความกตัญญูต่อมารดา พญาเวนไตยจึงขออิสรภาพกับนางกัทรูและเหล่านาคตรง ๆ ไปเลย

ผลคือพวกนาคเหล่านั้นต้องการหม้อน้ำอมฤตของพระอินทร์มาแลกเปลี่ยน เพราะอยากมีความเป็นนิรันดรอย่างผู้พี่ คือพระอินทร์นั้นเอง

พญาเวนไตยดีใจเป็นที่สุด จึงรีบไปบอกมารดาเล่าความให้ฟัง แต่การเดินทางไปเขาสุเมรุไกลมากมาย
แม่ จึงแนะลูกว่า “ลูกต้องอาศัยเรี่ยวแรงมหาศาล จึ่งเดินทางไปถึงสวรรค์ ลูกจงกินเหล่านิษาท อันเป็นคนเถื่อนที่มีอยู่จำนวนมากมายในป่าเป็นอาหารเถิด”

เวนไตยมีใจยินดี กราบอำลามารดา นางวินตาจึงสอนลูกเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมให้พร
“ลูกรัก ผู้มีอำนาจเรืองฤทธิ์เดช แต่อย่าได้ทะนงตน
ลูกต้องเคารพวรรณะพราหมณ์ อันเป็นวรรณะสูงสุด ต้องเคารพยำเกรง ให้เกียรติเหนือตน ตลอดเวลา
ถ้าเจ้าหลงกลืนพราหมณ์ จักมีอาการแสบร้อนทรมาน จงรีบคายเสีย”

“บัดนี้ลูกกตัญญูของแม่จักเดินทางออกไปเพื่อช่วยแม่
ขอให้ประสพความสำเร็จทุกประการ
พระวายุปกป้องปีกของลูก พระอาทิตย์ และพระจันทร์ปกป้องเบื้องล่างของลูก
พระอัคนีปกป้องศีรษะของลูก และ เหล่าทวยเทพวสุปกป้องกายอื่น ๆ ของลูก
เจ้าจงรีบไปเถิด แม่จะคอยอยู่ที่นี้”
เมื่ออำลา และรับพร พญาเวนไตยจึงออกเดินทางโดยระหว่างนั้นก็เสพเหล่านิษาทไปเป็นจำนวนมาก

และหนึ่งในนั้น ได้เผลอกลืนพราหมณ์ผู้มีภรรยาเป็นนิษาทลงไป
เกิดอาการแสบร้อน ทรมาน จึ่งนึกถึงคำของแม่ รีบคายออกมาทั้งพราหมณ์ และภรรยา

พราหมณ์เห็นความอ้อนน้อม และกตัญญูของพญาปักษา ก็เอ็นดูทันทีให้พรอันทำให้ประสบความสำเร็จในการทำงานสมปรารถนา

พญาเวนไตยแม้จักกินนิษาทมากแค่ไหนก็ไม่อิ่ม คิดหาเหยื่อใหม่
โดยร่อนลงบนเขาเหมกูฏอันเป็นที่ตั้งของพระกัศยปพรหมฤษี
ผู้เป็นบิดาจึงแนะว่าให้ไปกินพญาเต่า และพญาช้าง ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นอสูรด้วยกันทั้งคู่
ที่สู้รบไม่รู้แพ้ ชนะ จึงสาปกันและกันเป็นให้เป็นสัตว์เช่นนี้ ที่ทะเลสาบใหญ่ทางทิศเหนือจากนี้

เมื่อ ได้รับคำแนะจากบิดา เวนไตยก็รีบไปจับ ใช้ปากจับสัตว์ยักษ์ทั้งสองที่กำลังต่อสู้กันอยู่ และโผจับกิ่งไทรใหญ่ กิ่งหนึ่งหวังจะกินอาหารที่ได้มา แต่ทานน้ำหนักไม่ไหว หักลง

ที่กิ่งไม้นั้นเอง มีเหล่าพราหมณ์แคระ พาลขิลยะ มีร่างกายเท่านิ้วมือ ห้อยหัวลงดิน
บำเพ็ญเพียรอยู่ จำนวนหลาย ๑๐๐๐๐ ตน พญาวิหคจึงไม่กล้าทิ้งกิ่งไม้
เกรงอันตรายเกิดแก่เหล่าพราหมณ์ แต่หาที่วางเหมาะ ๆ ไม่ได้ จึงต้องกลับมาหาบิดา

พระเทพบิดรก็ได้เล่าความทั้งหมดที่เกิดแก่เหล่าพราหมณ์แคระ ก็พากันสรรเสริญ
และให้พร
“มหา ปักษิน จากนี้ไปท่านจงมีนามว่า ครุฑ คือผู้รับภาระอันหนัก ไม่ว่าภาระใด ๆ ก็สำเร็จลุล่วงทุกครั้งไป มีพลังมหาศาลไม่มีวันพร่อง เป็นผู้สามารถตลอดกาล ใคร ๆ อย่าได้ต้านทานต่อสู้ได้เลย”

พญาครุฑเอากิ่งไทรไปทิ้งทะเล และกินเหยื่อที่ริมหาดนั้นเอง แล้วก็รีบบินไปเทวโลกทันที

ครู่เดียวเท่านั้น ก็มาถึงนครอมราวดีของท้าววัชรินทร์
มา ถึงพญาครุฑก็เล็งมายัง วิมานไวชยันต์ อันเป็นที่เก็บหม้อน้ำอมฤตไว้ พระวิศวกรรมออกมาขวาง พญาครุฑก็ตบกลิ้งไปด้วยกรงเล็บมหึมา เทพทั้งหลาย รวมทั้งพระอินทร์ก็ต้านทานไว้ไม่ได้เลย

เมื่อเข้าใกล้หม้อน้ำทิพย์ที่ถูกเก็บหลังกรงจักรหมุนติ้ว ๒ อัน
มีงูร้ายตาแดงกล่ำ ๒ ตัวขดอยู่เบื้องล่างของหม้อ

พญาครุฑกระพือปีก ฝุ่นฟุ้ง ไปทั่วจนงูลืมตาไม่ขึ้นและย่อร่างเข้าไปในกรงจักร ทำลายเสีย
แล้วเอาหม้อน้ำทิพย์ออกมาจนได้
ขณะบินออกมาสู่นภาพร้อมหม้อน้ำอมฤต แผ่ปีกบังแสงอาทิตย์เป็นสง่าเหลือคณานับ

พระวิษณุแลเห็นความสง่าสุดบรรยาย พอพระทัยยิ่ง ตรัสสรรเสริญ และมอบพรให้พญาครุฑ
ซึ่งพญาครุฑก้มศีรษะลงคารวะอย่างนอบน้อม และขอไป ๒ ข้อ คือ
“ข้าพระองค์ขอเป็นเพียงพาหนะของพระองค์ชั่วชีวิต และประการ ๒ คือ ข้าพระบาทของมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่ต้องดื่มน้ำอมฤตเหมือนเทวาทั้งหลาย”
พระวิษณุก็มอบพรให้
ระหว่างทางกลับ พระอินทร์มีความเสียดายยิ่งนัก ตามมาแย่งคืน
ก็สู้แรงพญานกไม่ได้ แม้เขวี่ยง วัชระ เทพตราวุธประจำกาย
เสียงดังสนั่นปานสวรรค์แตกสลาย ก็ไม่ได้ระคายเคืองพญาครุฑเลย
(เพราะได้รับพรไปแล้ว)

พญาครุฑจึงกล่าวแก่ท้าววัชรินทร์ว่า (กล่าวได้เจ็บแสบ เหน็บเหนมจริง ๆ)
“ดูก่อนท้าววาสพ จงเร่งสำนึกตัว ท่านเป็นพี่คนโตของข้า ข้าก็เคารพความนี้อยู่แล้ว
นอกเหนือจากนั้น ท่านยังเป็นราชาแห่งเหล่าทวยเทพ ข้าก็ยิ่งเคารพยำเกรงท่านมากขึ้นไปอีก
ครั้งนี้ท่านตามมาต่อสู้ แม้ข้าทำร้ายท่าน ท่านก็จะเสียเกียติ
แต่เอาเถอะ ข้าจะยอมลดเกียรติลง ยอมให้ขนของข้าหลุดร่วง ๑ เส้น เพื่อแสดงว่า อาวุธของพี่ข้าได้ผล
สามารถทำร้ายข้าได้ ต่อไปภายหน้าข้าจะไม่ให้โอกาสท่านแล้ว จงสำนึกคำของข้าไว้”
กล่าวจบ ขนสีทองสว่างรุ่งโรจนก็หลุดร่วงลง เปล่งประกายราวกับมีพระอาทิตย์อีกดวง

พระอินทร์สิ้นทิฐิกล่าวขอโทษพญาครุฑ และกล่าวถึงเหตุ และผลของการใช้น้ำอมฤต

พญาครุฑได้ฟังวาจาอ้อนน้อมก็ใจอ่อน และตอบว่ายังไงเสียก็ต้องนำหม้อไปเพื่อช่วยมารดา
“แต่เอาเถอะ หลังจากที่ข้านำหม้อน้ำทิพย์นี่ไปให้นาคแล้ว จงเป็นหน้าที่ของท่านต่อไปเถิด”

พระอินทร์จึงล่องหนตามพญาครุฑไปด้วย
เมื่อนำหม้อน้ำทิพย์มาให้พวกนาค และปล่อยนางวินตาแล้ว นาคก็ตรงเข้าสู่หม้อน้ำทิพย์ทันที พญาครุฑห้ามไว้ ว่า
“จงลงไปอาบน้ำชำระกาย และสวดมนต์คายราตรีเสียก่อน จึงค่อยมาดื่ม”

เหล่านาคเชื่อก็ทำตาม พระอินทร์ก็ฉวยโอกาสนั้น นำหม้อกลับไปได้ รีบกลับเทวโลกทันที

นาคขึ้นมาไม่เห็นหม้อตกใจ แต่ก็ยังโชคดีที่ยังมีละอองน้ำทิพย์เกาะบนยอดหญ้าอยู่

เหล่านาคจึงหลงพากันเลียน้ำค้างธรรมดาบนยอดหญ้าคา
คมที่ปาดลิ้นจึงทำให้งูทั้งหลายมีลิ้น ๒ แฉกเป็นต้นมา
พญาครุฑพาแม่ไปส่งยังสำนักของพระกัศยปเทพบิดร
แล้วกลับมาปฏิบัติการจองเวรแก่นาคทั้งปวง T T
ไล่จับนาคกิน ฉีกพุง กินมันเปลว และเลือด เป็นอาหารอย่างสำราญใจ

นาคทั้งหลายก็หนีไปอยู่สะดือทะเล อันเป็นที่ตั้งของนครโภควดีของพญาวาสุกิ ราชาแห่งนาคทั้งปวง

พญาครุฑก็กระพือปีกแหวกน้ำออกจับนาคขึ้นมาได้อีก พญาวาสุกิเห็นไม่ดี
จึงทำสัญญาต่อพญาครุฑว่าจะทำพิธีสรรปพลี สังเวยนาคแก่พญาครุฑวันละตัว
ณ ลานหินริมฝั่งทะเล พญาครุฑก็ยอม

เลือดของนาคที่หยอดลงพื้นกลายเป็นมรกตนาคสวาท
น้ำลายปนเลือดครั้งสุดท้าย กลายเป็นพลอยครุฑกานต์ เรี่ยราดอยู่ตามชาดหาดนั้นเอง

ผลงานประพันธ์นี้ คือ ศ.ดร.ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา
นำมาจากหนังสือเรื่อง “ภาตรนิยาย” หนังสือหนามาก เกือบ ๑๐๐๐ หน้าได้