Asd

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ตอนที่ 12 พระรามเดินดง

หลังจากที่ท้าวทศรถได้ไปร่วมพิธีอภิเษกสมรสระหว่าง
พระ รามกับนางสีดาที่เมืองมิถิลาและกลับมาถึงเมืองอยุธยาแล้ว อยู่มาวันหนึ่ง ท้าวทศรถเห็นว่าตนเองมีอายุมากแล้วจึงตัดสินใจจะให้พระรามขึ้นครอง เมืองอยุธยาแทน จึงได้แจ้งไปยังฝ่ายต่างๆเพื่อเตรียมพิธีการ

(ห้องที่ 14) ก่อนวันพิธี นางค่อมกุจจีได้ไปเฝ้านาง
ไก ยเกษี ทูลว่า ควรทวงสัญญาจากท้าวทศรถที่ให้ไว้เมื่อครั้งไปปราบยักษ์ปทูตทันต์ คือขอให้พระพรต บุตรของนางไกยเกษีขึ้นครองเมืองก่อนพระราม และให้พระรามไปเดินดงเป็นเวลา 14 ปี นางไกยเกษีเห็นชอบด้วย จึงไปเฝ้าท้าวทศรถแล้วเจรจา

(ห้องที่ 15) ท้าวทศรถมิอาจปฏิเสธคำของนางไกยเกษีได้ เพราะเคยให้สัจจะไว้ ดังนั้น พระรามต้องออกบวชเป็นเวลา 14 ปี สร้างความเศร้าโศกเสียพระทัยแก่ท้าวทศรถเป็นอันมาก

(ห้องที่ 16) ครั้นแล้วพระรามก็ทรงเปลื้องเครื่องกษัตริย์ ทรงผ้าคากรองเป็นฤาษี ฝ่ายพระลักษณ์เมื่อทราบเรื่องก็โกรธและคิดจะไปฆ่านางไกยเกษี แต่พระรามห้ามไว้และบอกว่า การที่ตกลงใจจะออกเดินป่าเป็นเวลา 14 ปี ก็เพื่อเป็นการช่วยบำรุงสัตย์ของพระราชบิดา เพราะถ้าบิดาเสียสัตย์ปฏิญาณจะได้อัปประมาณในแดนไตร พระลักษณ์จึงระงับโทสะได้ และตัดสินใจว่า จะเสด็จไปเป็นเพื่อนพระรามในการเดินดง แล้วพระลักษณ์ก็ทรงผ้าคากรองเป็นฤาษีเช่นเดียวกับพระราม

ส่วนนางสีดา เมื่อทราบว่าพระสวามีจะไม่ได้ครองเมือง และบัดนี้ได้บวชเป็นดาบสเพื่อออกไปสร้างพรตอยู่ในป่า และพระลักษณ์ก็บวชตาม นางสีดาคิดแล้วจึงเปลื้องเครื่องประดับ สำหรับอัคเรศเสน่หา ออกจากพระกายกัลยา ทรงเพศเป็นดาบสินี


เมื่อพระราม พระลักษณ์ และนางสีดา เดินทางออกจากเมืองอยุธยา ก็เดินเข้าดงพงไพร รอนแรมอยู่หลายคืน
จนถึงแม่น้ำสะโตง ซึ่งกว้างใหญ่และไหลลึก จึงหยุดพักที่ริมแม่น้ำ ได้พบกับ พรานไพรใจกล้าชื่อ กุขัน ซึ่งด้วยอำนาจพระนารายณ์ดลจิต กุขันจึงเคารพรักและเกรงเดชพระราม จึงจัดหาน้ำผึ้ง เนื้อทราย กับปลาย่างตัวใหญ่มาถวาย และขันอาสาจะพายเรือข้ามแม่น้ำไปให้จนกระทั่งได้มาพบพระภารทวาชฤาษี และพระสรภังคฤาษีที่เขาสัตกูฎ แล้วได้พำนักที่อาศรมซึ่งเทวดามาสร้างไว้ที่ปากถ้ำ


ย้อนกลับมาที่พระพรต และ พระสัตรุดซึ่งอยู่ที่เมือง
ไกยเกษเมื่อได้รับสารจากพระมารดา คือนางไกยเกษี
ว่า ให้กลับมายังเมืองอยุธยาจึงเดินทางกันกลับมา แต่เมื่อมาถึงก็เป็นที่สงสัยว่าทำไมบ้านเมืองเงียบสงบดั่งหนึ่งกลางป่า ภายหลังจึงได้ทราบว่าท้าวทศรถสวรรตคตแล้วเพราะเสียพระทัยอาลัยรักพระรามที่ ต้องเดินทางจากไป 14 ปี และให้พระพรตขึ้นครองเมืองแทนตามคำขอของ นางไกยเกษี พระพรตโกรธพระมารดามากเกือบจะฟัน
พระมารดา แต่ยับยั้งตั้งสติแล้วทูลว่าจะไปตามพระรามกลับมาครองเมือง

(ห้องที่ 17) ในพิธีถวายพระเพลิงพระศพท้าวทศรถ
พระวสิทธิ์สวามิตรฤาษีห้ามไม่ให้นางไกยเกษีและ
พระ พรตมาถวายพระเพลิงด้วยท้าว ทศรถสั่งไว้ก่อนจะเสด็จสววรคต นางไกยเกษีได้ฟังไม่รู้จะตอบประการใดจนใจด้วยตัวทำผิดจึงออกจากเมรุกลับไป ยังปราสาทของตน


(ห้อง ที่ 18) วันรุ่งขึ้น พระพรต พระสัตรุด นางเกาสุริยา และนางสมุทรเทวี เตรียมตัวจะไปรับเสด็จพระรามให้กับคืนเมืองอยุธยา ฝ่ายนางไกยเกษีเมื่อรู้ดังนั้นก็ตัดสินใจตามไปขอโทษด้วย ทั้ง 5 คนจึงออกเดินทางตามหา
พระราม พระลักษณ์ และนางสีดา


ครั้น พอถึงเขาสัตกูฎ ทั้งหมดเดินทางไปหา พระพรตทูลพระรามว่า เสียพระทัยมาก เมื่อทราบว่ามารดาของตนเป็นต้นเหตุให้พระรามต้องออกป่า จึงตามมาเพื่อขอทูลเชิญให้กลับคืนไปครองพระนคร และแจ้งให้ทราบว่าท้าวทศรถผู้เป็นพ่อได้สวรรคตเรียบร้อยแล้ว ต่างเศร้าโศกเสียใจ และพระรามยึดมั่นคำสัญญาว่าอย่างไรก็ไม่กลับเพื่อรักษาสัตย์ของบิดา แม้นว่าพระมารดาทั้งสามจะทัดทาน อ้อนวอนอย่างไรก็ไม่เป็นผล

ดังนั้น พระพรตจึงขอรองพระบาทของพระรามที่ทำด้วยหญ้าเพื่อนำกลับไปเก็บไว้ในปราสาท แก้วเพื่อถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ แล้วทูลว่าหากครบ 14 ปี พระรามยังไม่กลับมาตามคำสัญญา ตนกับพระสัตรุดจะกระโดดเข้ากองเพลิงเผาตัวตาย

**ตอนต่อไป ชิวหา กับนางสัมนักขา**

2 ความคิดเห็น: