Asd

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ตอนที่ 32 พระมงกุฏ-พระลบ

(ห้องที่ 159) จากนั้นพระอินทร์แปลงเป็นกระบือนำเสด็จนางสีดาไปสู่สำนักพระวัชมฤคฤษี ครั้นใกล้ถึงกำหนดคลอด พระอินทร์ได้ส่งมเหสีทั้งสี่นางลงมาทำคลอด นางสีดาให้กำเนิดโอรสในรุ่งเช้ามีชื่อว่า พระมงกุฎ


วัน หนึ่งนางสีดาออกไปสรงน้ำ ทิ้งพระมงกุฎไว้กับพระฤาษีตามลำพัง นางได้เห็นลิงป่าหอบหิ้วลูกน้อยมาในอ้อมอกก็คิดถึงลูกตัวเอง คิดได้ว่าขนาดสัตว์ป่ายังไม่ทิ้งลูก ทำไมนางเองถึงทิ้งลูกไว้เพียงลำพังกับพระฤาษี จึงย้อนกลับไปอุ้มพระมงกุฎมาด้วย

(ห้องที่ 160) ฝ่ายพระฤาษีเมื่อลืมตาขึ้นมาก็ตกใจไม่เห็นพระมงกุฎ จึงวาดรูปลงบนแผ่นกระดานเตรียมทำพิธีชุบพระโอรสขึ้นมาใหม่ แต่เผอิญนาง สีดาอุ้มลูกกลับมาพอดี พระฤาษีถอนหายใจโล่งอกเตรียมจะลบรูป แต่นางสีดาบอกให้ทำพิธีชุบต่อให้เสร็จเพื่อชุบกุมารขึ้นมาเป็นเพื่อนเล่นกับ พระมงกุฎ พระฤาษีจึงชุบกุมารขึ้นมาอีกองค์ให้ชื่อว่า พระลบ



เมื่อ พระมงกุฎและพระลบได้ชันษาครบสิบสี่ปี ขอพระฤาษีเข้าป่าเพื่อไปลองยิงศร เมื่อทั้งสองพระองค์เข้าป่าก็ลองยิงศรถูกต้นพญารังหักสะบั้น เสียงดังสนั่นเลื่อนลั่นไปทั่วทุกทิศ สะเทือนถึง นพบุรี เมืองไกยเกษ ทำให้ทั้งพญาอนุชิต พระพรตและพระ สัตรุด เดินทางมาเฝ้าพระราม (ห้องที่ 161) พระรามจึงปล่อยม้าอุปการมีสารติดไปด้วยว่าใครขึ้นขี่ม้าถือว่าเป็นกบฏบังอาจ นั่งร่วมพระอาสน์กับพระรามให้จับฆ่าเสีย (ห้องที่ 162) จากนั้นก็ให้หนุมานหรือพญาอนุชิตสะกดรอยตามม้าไป แล้วมอบหมายให้พระพรต พระสัตรุดเตรียมกองทัพไปจับ พญาอนุชิตเห็นสองกุมารขี่เล่นก็กระโดดจับ แต่ถูกพระมงกุฎตีด้วยคันศรจนสลบ เมื่อต้องลมก็ฟื้นขึ้น จึงแปลงร่างเป็นลิงน้อยไปตีสนิทกับสองกุมารแล้วกระโจนเข้าจับแต่ก็ถูกคันศร ตีสลบอีก คราวนี้ถูกมัดด้วยเถาวัลย์ลงยันต์เขียนสักที่หน้าว่า เฉพาะผู้เป็นเจ้าของลิงตัวนี้เท่านั้นจึงจะแก้มัดได้ พญาอนุชิตอับอายมากต้องดั้นด้นมาหาพระรามให้ช่วยแก้มัดให้ จากนั้นก็ตามพระพรต พระสัตรุดออกไปจับสองกุมารอีก

พระพรตยิงศรถูก พระมงกุฎล้มลง พญาอนุชิตกระโจนจับเอาไว้ได้ ส่วนพระลบหนีไปได้ เมื่อพระพรต พระสัตรุดจับพระมงกุฎได้ (ห้องที่ 163) พระรามสั่งจองจำด้วยเครื่องพันธนาการ นำออกแห่ประจาน แล้วเอาขึ้นขาหยั่งที่สามแพร่งสามวันจากนั้นก็จะให้ตัดหัวประหารชีวิตพระ อินทร์จึงให้นางรัมภามาช่วย นางสีดามอบแหวนสุรกานต์ให้พระลบเอามาให้

พระ มงกุฎแล้วจะหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งสิ้น พระลบพบนางรัมภาจึงอาสาตักน้ำให้แล้วแอบเอาแหวนใส่ลงในน้ำ นางรัมภาใช้มารยาหญิงหลอกล่อเพชรฆาตทั้งสี่จนสำเร็จ ก็เอาน้ำไปให้พระมงกุฎดื่ม ไม่นานพระมงกุฎรู้สึกตัวหายเจ็บปวด และแหวนเข้าไปรัดนิ้วไว้ เครื่องพันธนาการก็หลุดออกสิ้น จึงกำบังกายออกมาพบพระลบนอกกำแพงเมือง พระมงกุฎแค้นใจมาก ไม่กลับอาศรมแต่ขอตั้งรับทัพที่กลางป่า

พระรามรู้ว่าพระมงกุฎหนีไป ได้ก็โกรธมาก ยกทัพมาด้วยตนเอง มีพระลักษณ์ พระพรต พระสัตรุด และพญาอนุชิตตามเสด็จ พระรามเคลื่อนรถทรงม้าออกมาพบกุมารงามสง่าทั้งสององค์ ก็อยากจะจับมัดตัวมาซักถามว่าเป็นลูกเต้าเหล่าวงศ์ใด จึงยิงศรตอบโต้กัน ต่างก็เอาชนะกันไม่ได้ จนถึงศรที่สี่พระมงกุฎแผลงศรไปทำลายศรพระราม ปรากฏว่าศรกลับไปลอยอยู่เคียงกัน พระมงกุฎรำลึกถึงพระคุณของพระอาจารย์ แผลงศรซ้ำไปอีกครั้ง กลับกลายเป็นข้าวตอกดอกไม้บูชาพระราม

(ห้องที่ 164) พระรามเห็นอัศจรรย์จึงตั้งจิตอธิษฐาน ถ้าเป็นหน่อเนื้อเชื้อวงศ์เดียวกันขอให้ศรกลายเป็นอาหาร ก็เป็นไปดั่งคำอธิษฐาน จึงขอสงบศึกเจรจาถามไถ่จนได้รู้ว่าเป็นพ่อลูกกัน พระมงกุฎน้อยใจก็เลยหลบหนีจากไป กษัตริย์ทั้งสี่พระองค์ตามสองกุมารไปจนถึงอาศรมพระฤาษีวัชมฤค


**ตอนต่อไป ตามนางสีดา**

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น