เมื่อพญาไมยราพเดินทางมาจนถึงเขา วงกตแลเห็นปราการสูงใหญ่ แต่กลับไม่เห็นพลับพลา จึงแปลงร่างเป็นลิงน้อยเดินปะปนไปกับหมู่ทหารลิงแล้วลอบฟังหมู่ทหารลิงคุย กันเรื่องพระรามกำลังเคราะห์ร้ายและจะพ้นเคราะห์เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ได้ความดังนั้นไมยราพจึงเดินหลีกออกมาจนลับตาจากเหล่าทหารลิง ก็กลับกลายเป็นยักษ์แล้วเหาะไปที่เขาโสลาสคีรียืนอยู่บนยอดเขาและจับกล้อง ปัจธำมราชขึ้นกวัดแกว่งทำให้เกิดแสงสว่างเหมือนดาวประกาย ฝ่ายพวกลิงที่เฝ้ารักษาพระรามเข้าใจว่าเป็นดวงดาวประกายจริงจึงพูดต่อๆกันไป ว่าพระรามพ้นเคราะห์แล้ว จึงพากันหลับนอนละเลยไม่ตรวจตราตามหน้าที่
พญา ไมยราพเห็นดังนั้นจึงเอายาสะกดใส่กล้องแล้วเป่าไปทำให้เหล่าวานรทั้งหลาย หลับสนิท แล้วไมยราพก็ เดินต่อไปถึงปากหนุมานเห็นสุครีพและหนุมานนั่งหลับจึงเดินเข้าไปในปากหนุมาน เห็นพวกลิงนอนหลับทับกัน เหลือแต่พิเภกและพระลักษณ์ซึ่งนั่งเฝ้าพระรามอยู่ ไมยราพจึงหมอบเข้าไปแล้วเอายาสะกดใส่กล้องแล้วร่ายพระเวทและกลั้นใจเป่าซ้ำ ไปอีกสามทีทำให้พิเภก พระราม และพระลักษณ์หลับไหลไปแล้วพญาไมยราพก็ช้อนเอาพระรามขึ้นใส่เหนือบ่าแล้วออก มาจากปากหนุมานแล้วรีบแทรกแผ่นดินกลับไปเมืองบาดาล
เมื่อถึงเมือง บาดาลก็สั่งอำมาตย์ยักษ์ให้รีบเอาพระรามไปใส่ไว้ในกรงเหล็กที่ดงตาลและให้ พวกยักษ์เฝ้า พร้อมกันนั้นได้สั่งนางพิรากวนตักน้ำใส่ที่กระทะใหญ่ซึ่งตั้งไว้ที่หน้าพระ ลานและในรุ่งเช้าจะได้จัดการต้มพระรามและไวยวิก ลูกนางพิรากวนให้ตายพร้อมกัน ฝ่ายหนุมานเมื่อต้องยาสะกดของไมยราพก็หลับไม่ได้สติ ครั้นถูกลมพัดก็ตื่นฟื้นกายเห็นไม่พบพระรามก็รีบปลุกพระลักษณ์ พิเภกและสุครีพ
(ห้องที่ 54) หนุมานจึงอาสาไปไปช่วยพระรามที่เมืองบาดาลตามที่พิเภกแนะนำ คือ ไปยังสระบัวต้นทางที่จะไปเมืองบาดาลเห็นบัวดอกหนึ่งใหญ่เท่ากับกงรถจึงหัก ก้านบัวออกแล้วนิมิตตนเองลอดไปตามสายบัว แล้วแลเห็นกำแพงล้อมป้อมค่ายมีหมู่ยักษ์นับพันเฝ้า
ด่านแรก หนุมานจึงฆ่าหมู่ยักษ์และช้าง
ด่านที่สอง ทำลายภูเขาเหล่าเพลิงกรดจนดับสิ้น
ด่านที่สาม จับขยี้ยุงซึ่งตัวเท่าแม่ไก่
ด่าน ที่สี่ พบมัจฉานุซึ่งเป็นลูกของหนุมานกับนางสุพรรณมัจฉาและเป็นบุตรบุญธรรมของพญา ไมยราพ เมื่อสู้รบกันเป็นเวลานานแต่ไม่ปรากฏแพ้ชนะ จึงได้ร้องถามว่าเจ้าเป็นลูกเต้าผู้ใด มัจฉานุตอบจึงได้ทราบว่าทั้งสองเป็นพ่อลูกกัน มัจฉานุจึงขอโทษที่มาสู้รบหนุมานจึงถามมัจฉานุถึงหนทางที่จะไปเมืองบาดาล มัจฉานุตอบว่าพญาไมยราพเลี้ยงตนมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่มีพระคุณดั่งบิดา บังเกิดเกล้า หากจะให้บอกทางไปยังเมืองบาดาลก็เหมือนตนเองเป็นคนอกตัญญูแล้วบอกใบ้ว่า “บิดาลงมาทางไหน ทางนั้นจะไปยังมีอยู่ จงเร่งพินิจคิดดู ก็จะรู้ด้วยปรีชาชาญ”
(ห้องที่ 55) หนุมานได้ฟังดังนั้นก็คิดได้ จึงหักก้านบัวแล้วลอดไปตามไส้บัวจนถึงที่อยู่ของไมยราพและได้พบนางพิรากวน จึงถามนางว่าได้นำพระรามไปขังไว้ที่ใด นางตอบว่าขังอยู่ที่ดงตาลท้ายเมืองบาดาลแต่การที่จะผ่านเข้าไปถึงที่อยู่ ไมยราพจะต้องผ่านนายประตูซึ่งมีตราชูชั่งน้ำหนัก หนุมานจึงคิดอ่านผ่านด่านที่ห้าซึ่งมีตราชูคอยชั่งน้ำหนักโดยแปลงตัวเป็นใย บัวติดสไบของนางพิรากวนเข้าไป เมื่อนางเดินไปที่ด่านชั่งน้ำหนักปรากฏว่าตราชูเกิดลั่นเดาะหักลงมา พวกยักษ์จึงถามว่าพาใครเข้ามาจึงทำให้ตราชูหัก นางพิรากวนตอบว่า ตนมาผู้เดียวดังที่เห็นอยู่ส่วนการที่ตราชูหนักนั้นก็มันเก่าคร่ำคร่าใช้ มากกว่าแสนปีไม่ดีหักเองจะโทษใคร พวกยักษ์ได้ฟังนางพิรากวนชี้แจงก็เห็นจริงดังที่นางพิรากวนว่าจึงได้แต่ เหลียวดูหน้ากันไปมาและมิได้ตอบโต้นางพิรากวน
(ห้องที่ 56) เมื่อนางพิรากวนเดินผ่านประตูเข้ามาถึงหน้าพระราม จึงบอกหนุมานว่า ไมยราพนอนหลับอยู่ที่ปราสาท ส่วนพระรามและไวยวิกถูกขังไว้ในกรงเหล็กที่ดงตาลท้ายเมือง หนุมานจึงร่ายเวทอำพรางตัวรีบไปที่กรงขัง เมื่อมาถึงก็ร่ายมนต์สะกดหมู่ยักษ์ที่เฝ้าพระราม ครั้นแล้วหนุมานก็เห็นพระรามนั่งหลับอยู่ในกรงเหล็กใหญ่ก็ก้มลงกราบและทำลาย กรงเหล็กแล้วช้อนองค์พระรามรีบพาเหาะจากเมืองบาดาลมาถึงเขาสุรกานต์จึงวาง องค์พระรามพักไว้ที่แท่นฝากเทวดาฟ้าดินปกปักรักษา เพื่อกลับมาฆ่าไมยราพ
ระหว่าง การต่อสู้ทำอย่างไร หนุมานก็ไม่สามารถฆ่าไมยราพได้จึงร้องถามนางพิรากวนว่าเป็นเพราะเหตุใด นางตอบว่า ไมยราพถอดจิตออกเป็นตัวผึ้งใส่กล่องแก้วแล้วเอาลงไปซ่อนไว้ในยอดเขาตรีกูฏ หนุมานจึงนิมิตร่างใหญ่เท้าเหยียบอกไมยราพแล้วง้างมือไปที่ยอดเขาคว้าตัว ผึ้งที่เป็นหัวใจของไมยราพแล้วขยี้ ไมยราพถึงแก่ความตาย หนุมานกลับไปถอดตรุให้ไวยวิกแล้วตั้งให้เป็นเจ้าเมืองบาดาลแล้วให้มัจฉานุ เป็นอุปราช หิ้วเศียรไมยราพเหาะกลับมายังเขาสุรกานต์
*-*ตอนต่อไป ศึกกุมภกรรณ
Asd
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น