Asd

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ตอนที่ 16 หาทางเข้ากรุงลงกา

(ห้องที่ 29) ในการที่จะไปตามหานางสีดาในครั้งนี้ พระรามทรงประทับที่เขาคันธมาทน์ และได้ส่งนายทหารวานรผู้มีฝีมือคือ หนุมาน ชมพูพาน และองคต ล่วงหน้าไปก่อนเพื่อดูลาดเลา และตรวจสอบความอุดมสมบูรณ์ของป่าเขา หนทางไปสู่ลงกา ดังนั้นพระรามจึงมอบแหวนกับสไบของนางสีดาให้หนุมาน และบอกนางว่าพระรามกำลังตามมา

หนุมานทูลพระรามว่า หลักฐานเท่านี้ไม่เพียงพอ เพราะอาจเป็นของตกกลางป่าก็ได้ พระรามจึงบอกความหลังที่รู้กันอยู่เพียงสององค์คือพระรามสบตานางสีดา เมื่อครั้งไปยกศรที่กรุงมิถิลา ที่ช่องประตูปราสาทและต่างก็หลงรักกันในทันใด

ครั้นแล้วหนุมาน องคต ชมพูพาน ก็ลาพระราม พระลักษณ์ แล้วนำพลจากเขาคันธมาทน์ดั้นดัดลัดป่าพนาดร บทจรโดยทิศหรดี ซึ่งปรากฏว่าระหว่างการเดินทางของหนุมานกับคณะก่อนที่จะไปพบนางสีดาต้อง เผชิญเหตุการณ์ต่างๆรวม 8 เรื่อง ดังจะกล่าวต่อไป

๑ องคตพบยักษ์ปักหลั่น(ห้องที่ 30)
เมื่อ หนุมานและคณะได้เดินทางไปถึงสระโบกขรณี ซึ่งมีชื่อว่า สระพันตา หรือ สระยักษ์ปักหลั่น ทั้งสามพญาวานรและพลทัพจึงหยุดพักนอนที่ริมสระ และในคืนวันนั้นยักษ์ปักหลั่นผู้เฝ้ารักษาสระเห็นลิงเป็นจำนวนมากมาหยุดพัก นอนที่ริมสระจึงออกมาดู จึงคิดตั้งใจจะฆ่าให้ตายหมายกินให้อิ่มหนำสำราญ ว่าแล้วก็โจนเข้าถีบอกองคต หลังจากนั้น องคตกับยักษ์ปักหลั่นก็สู้รบกัน แต่ภายหลังยักษ์ปักหลั่นทราบว่าองคตเป็นทหารของพระนารายณ์ จึงบอกว่าตนเองเดิมเป็นเทวดาข้ารับใช้พระอิศวรแต่ไปเป็นชู้กับนางฟ้าชื่อ เกสรมาลา พระอิศวรทราบเรื่องเข้าทรงกริ้วมากจึงสาปให้เป็นยักษ์มาเฝ้าสระพันตาจนกว่า จะได้พบทหารพระนารายณ์เอามือลูบหลังจึงจะพ้นโทษหนักที่สาปไว้ องคตได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกสงสารจึงเอามือลูบหลังยักษ์ปักหลั่น แล้วยักษ์ก็กลับกลายเป็นเทวาเหาะไปฟากฟ้าสถาวร

๒ หนุมานพบนางบุษมาลี(ห้องที่ 30/1)
พญา วานรทั้งสามพร้อมไพร่พลลิงเดินทางต่อผ่านทุ่งวุ้งเขาและแนวป่าก็มาพบเมือง ร้างอยู่กลางป่า มีมหาปราสาท แต่ไม่มีคนเดินไปมาจึงรู้สึกแปลกใจกันยิ่งนัก หนุมานอาสาจะเข้าไปตรวจสอบ แล้วให้องคตกับชมพูพานดูแลรี้พล เมื่อหนุมานเข้าไปในปราสาทได้พบกับหญิงสาวสวยผู้หนึ่งชื่อ บุษมาลี เมืองนี้ชื่อเมืองมายัน แต่เดิมนางอยู่กับพระอินทร์ต่อมาเกิดเหตุร้าย คือ ท้าวดาวันไปเฝ้าพระอินทร์เห็นนางรำพาก็นึกรัก และทุกครั้งที่ไปเข้าเฝ้าก็จะรบเร้าให้นางบุษมาลีเป็นแม่สื่อให้

ต่อ มาพระอินทร์ทรงทราบเรื่องทรงกริ้วมาก จึงสาปให้นางบุษมาลีมาอยู่แต่ผู้เดียวในปราสาทจนกว่าจะได้พบทหารพระนารายณ์ จึงให้พ้นโทษ หนุมานจึงแผลงฤทธิ์กลายเป็นลิง 4 หน้า 8 มือ แล้วหาวเป็นดาวดวงอาทิตย์ และในที่สุดก็ได้นางบุษมาลีเป็นเมีย และขอให้นางชี้ทางไปลงกาให้ด้วย นางบอกให้ไปทางทิศหรดี มีนางฟ้าเฝ้าแม่น้ำอยู่ให้ไปถามนางเถิด ส่วนตนเองบัดนี้พ้นคำสาปแล้วขอให้ช่วยส่งนางกลับไปบนฟ้าด้วย หนุมานจึงเข้าอุ้มนางบุษมาลี มองหน้านางด้วยความอาลัย พลางถอนใจใหญ่ แล้วตัดสินใจโยนนางขึ้นไปในอากาศ


๓ หนุมานพบนางฟ้า ชื่อนางสุวรรณมาลี
หลัง จากนั้นหนุมานก็กลับออกมาแล้วเล่าให้องคต และ ชมพูพานฟัง จึงพากันยกพลออกจากเมืองมายันเดินทางต่อไป เมื่อเดินทางมาถึงแม่น้ำใหญ่ พบหญิงสาวสวยนั่งอยู่กลางน้ำ จึงสอบถามดูได้ความว่าเป็นข้าบาทบงส์ของพระอิศวร ชื่อ สุวรรณมาลี พระอิศวรใช้ให้มาคอยท่าทหารพระนารายณ์ ซึ่งกำลังเดินทางไปเฝ้านางสีดา เพื่อให้บอกทางไปลงกา จึงขอให้พาทหารลิงข้ามแม่น้ำใหญ่แล้วจะพบพระชฎิลอาจารย์ แล้วให้สอบถามทางต่อไป


๔ หนุมานพบพระชฎิลฤาษี (ห้องที่ 31)
หนุ มานนิรมิตกายใหญ่โตใช้หางพาดเป็นสะพานให้พลวานรใช้เดินข้ามฟากเพื่อไปพบพระ ฤาษีชฎิล เมื่อไปถึงกุฏิพระฤาษี หนุมานก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้พระฤาษีฟัง แล้วจึ่งถามทางพระอาจารย์ฤาษี พระชฎิลฤาษีตอบว่า เมืองลงกานี้ไปยากต้องข้ามห้วยข้ามเขาไปไกลจนถึงเขาเหมติรันอยู่ริมมหาสมุทร ซึ่งเป็นท่าข้ามไปยังเกาะลงกา เมื่อพญาวานรทั้งสามทราบเรื่อง จึงขอลาเดินทางต่อไปในวันรุ่งขึ้นจนถึงเขาเหมติรัน


๕ พบพญานกชื่อสัมพาที
เมื่อ ถึงเขาเหมติรันแล้ว หนุมานก็นำพลไปบนภูเขาแล้วหยุดอยู่ที่ปากถ้ำแห่งหนึ่ง และไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อ หนุมานจึงพูดกับองคตและชมพูพานว่า ตามที่พระรามใช้ให้ไปส่งข่าวถึงนางสีดาที่เมืองลงกานั้น แม้จะยากลำบากสักปานใด เราก็จะไม่ย่อท้อเป็นอันขาด เราจะยอมสละชีวิตเพื่อพระรามเหมือนดั่งนก สดายุที่ได้กระทำมาแล้ว เสียงนั้นดังเข้าไปในถ้ำ นกสัมพาทีจึงออกมาว่า “นกสดายุเป็นน้องของเรา น้องเราถูกใครฆ่า” หนุมานจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังจนจบ

จากนั้นหนุ มานจึงถามนกสัมพาทีว่าทำไมถึงไม่มีขนเล่า นกสัมพาทีจึงเล่าให้ฟังว่า เมื่อสดายุน้องตนยังเล็กอยู่ เห็นพระอาทิตย์ขึ้นนึกว่าเป็นผลไม้สุกห่ามจะใคร่กินจึงเข้าไปยึดรถพระ อาทิตย์ พระอาทิตย์โกรธจึงเปล่งแสงดังเพลิงไหม้ ตนเองจึงเข้าไปช่วยน้อง ขนจึงหลุดหมดทั้งตัว แล้วพระอาทิตย์ก็สาปซ้ำว่า ให้มาอยู่ในถ้ำเขาเหมติรัน และอย่าให้ขนงอกจนกว่าจะพบทหารเอกพระนารายณ์มาโห่ให้สามครั้ง จึงจะพ้นคำสาป ว่าแล้วพวกลิงจึงโห่สามครั้ง นกสัมพาทีจึงพ้นคำสาป

เมื่อ ขนกลับงอกงามดั่งเดิม แล้วพญาสัมพาทีก็ลองบินดูปรากฏว่ามีกำลังเช่นเดิม จึงอาสานำทางคณะของหนุมานไปยังเมืองลงกา พญาวานรทั้งสามจึงขึ้นหลังนกสัมพาทีแล้วเหาะไปดูเมืองลงกา ซึ่งเป็นเกาะกลางทะเล แล้วกลับมาที่เขาเหมติรันเพื่อเตรียมการ หนุมานจึงแจ้งกับองคตและชมพูพานว่า ตนเองเพียงผู้เดียวจะลอบเข้าไปพบนางสีดา ขอให้รักษาไพร่พลอยู่ที่เขาเหมติรันนี้ และขอให้พญาสัมพาทีช่วยดูแลช่วยเหลือพวกลิงด้วย

๖ หนุมานพบนางผีเสื้อยักษ์(ห้องที่ 32)
หนุ มานเมื่อเหาะข้ามมาลงกาก็ได้พบกับนางผีเสื้อยักษ์ ซึ่งทศกัณฐ์ตั้งไว้เป็นนายด่านด้านมหาสมุทร เพื่อป้องกันศัตรู เมื่อนางผีเสื้อยักษ์เห็นหนุมานเหาะมาจึงถือกระบองขึ้นสู้รบกับหนุมานและอ้า ปากหวังจะกินหนุมาน แต่ หนุมานเอาตรีเพชรออกมาแล้วกระโดดเข้าไปในปากของนางผีเสื้อยักษ์และออกมาทาง หูขวา กระโดดเข้าหูซ้าย แทงท้องลากไส้ออกมาจนถึงแก่ความตาย



๗ หนุมานพบพระนารถฤาษี(ห้องที่ 33)
เมื่อหนุมานฆ่านางผีเสื้อยักษ์ตายแล้ว ก็เหาะไปยังเกาะลงกา จนถึงเขาโสฬสอันเป็นที่ตั้งของอาศรมพระนารถฤาษี
ใน ชั้นต้นหนุมานแปลงตนเป็นลิงน้อยเข้าไปพบพระนารถฤาษีแล้วบอกว่าตนเป็นลิงป่า ได้ยินว่าเมืองลงกาใหญ่โตน่าสนุกสนานจึงขอแวะมาถามทางและขอพักที่อาศรมหนึ่ง คืน พระนารทฤาษีจึงชี้บอกศาลาที่พักให้ ต่อมาหนุมานคิดลองดีกับพระนารถฤาษีจึงนิมิตกายให้เต็มศาลาแล้วร้องบอกพระ ฤาษีว่าศาลาเล็กไป พระนารถฤาษีจึงนิมิตศาลาให้ใหญ่ขึ้นอีก แต่หนุมานก็แกล้งนิมิตกายใหญ่ขึ้นไปอีกจนคับศาลา พระนารถฤาษีรู้ว่าลิงป่าตัวนี้ต้องการลองดี จึงบันดาลฝนให้ตกลงมา จนลิงถูกฝนเปียกหนาว จึงแปลงกายกลับเป็นลิงเล็กเช่นเดิม แล้วหนุมานก็ขอประทานโทษที่ล่วงเกิน แล้วหนุมานก็ขอลาพระฤาษีเหาะตรงไปยังเมืองลงกา


๘ หนุมานรบกับยักษ์เสื้อเมืองลงกา
ด่าน สุดท้ายที่หนุมานต้องผจญก่อนเข้าเมืองลงกา คือต้องต่อสู้กับยักษ์เมืองลงกา ซึ่งมี 4 หน้า 8 มือ แต่ละมือถืออาวุธต่างๆคือ มือหนึ่งถือจักร มือสองถือพระขรรค์ มือสามถือตรี มือสี่ถือคฑา มือห้าถือง้าว มือหกถือศร มือเจ็ดถือโตมร (หอกซัด) มือแปดถือค้อนเหล็ก ทั้งสองสู้รับกัน ผลสุดท้ายหนุมานเอาตรีฟันฟาดยักษ์เสื้อเมืองคอขาดตายพอดีเป็นเวลาค่ำ หนุมานจึงเหาะเข้าเมืองลงกา และพอแลเห็นปราสาทหนุมานก็เหาะลงสู่พื้นดิน

**ตอนต่อไป หนุมานเข้ากรุงลงกา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น