ที่ กรุงสาเกด ท้าวโคดมซึ่งเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองแต่ไร้ทายาทสืบทอด เบื่อหน่ายโลกจึงออกบวชเป็นฤาษีโคดมอยู่ในป่า บำเพ็ญตบะปล่อยหนวดเครารุงรังจนมีนกกระจาบสองผัวเมียมาอาศัยเป็นที่ทำรัง หลับนอน
วัน หนึ่งนกกระจาบตัวผู้ออกไปหากินทว่าติดอยู่ในกลีบดอกบัวทั้งคืน ต้องรอจนรุ่งสางเมื่อดอกบัวผลิบานจึงบินออกมาได้ ครั้นกลับมาถึงรังก็มีปากเสียงกันเพราะแม่นกกระจาบไม่เชื่อว่าพ่อนกติดอยู่ ในดอกบัวจริง ฝ่ายพ่อนกจึงร้องว่า “หากทั้งหมดที่ข้าพูดมานั้นเป็นเรื่องโกหก ขอให้บาปทั้งมวลของพระฤาษีโคดมจงตกเป็นของข้าผู้เดียว”
พระฤาษีได้ ยินก็สะดุ้งโหยง ถามกลับไปว่า “ฉันมีบาปตรงไหน ทุกวันนี้ฉันก็นั่งบำเพ็ญเพียรภาวนารักษาศีล ร่างกาย หนวดเคราของฉันก็ให้พวกเธอได้ใช้เป็นที่พักพิง บอกฉันหน่อยสิ ว่าฉันมีบาปมหันต์อย่างไร”
พ่อนกจึงตอบไปว่า “ท่านเป็นคนบาปเพราะท่านไม่มีโอรสธิดาไว้เป็นทายาทสืบทอดราชบัลลังก์ และการที่ท่านละทิ้งบ้านเมืองมาอยู่ป่าเช่นนี้ก็เท่ากับว่า ท่านได้ทิ้งนครของท่านไร้กษัตริย์ปกครอง อย่างนี้จะเรียกว่าท่านเป็นคนบาปได้หรือไม่ล่ะท่านฤาษี
พระฤาษีโคดม ครุ่นคิดสักครู่ก็รู้ว่าจริงดั่งคำของพ่อนก บังเกิดความรู้สึกเหนื่อยหน่ายต่อเพศฤาษี จึงตั้งพิธีบริกรรมหน้ากองไฟ เนรมิตสาวงามชื่อนางกาลอัจนาขึ้นมาเพื่ออยู่กินกันฉันผัวเมีย จนได้ลูกสาวคนหนึ่งชื่อนางสวาหะ
วัน หนึ่งขณะพระโคดมเข้าป่าไปหาผลไม้ตามปกติทิ้งนางกาลอัจนาเฝ้าอาศรมผู้เดียว พระอินทร์เสด็จมาอยู่กับนางกาลอัจนาเพื่อให้เกิดโอรสมีฤทธิ์ มีบุตรรูปงามผิวสีเขียว ฝ่ายพระอาทิตย์ก็เสด็จมาอยู่กับนางกาลอัจนาบ้างจนนางคลอดบุตรเป็นเด็กชายรูป งามผิวสีแดง
พระโคดมนั้นคิดว่าเด็กชายทั้งสองเป็นลูกของตนก็เฝ้าเลี้ยงดูทะนุถนอมอย่างดี จนแทบจะลืมนางสวาหะลูกสาวคนโตเลยทีเดียว
อยู่ มาวันหนึ่งพระโคดมเกิดร้อนอยากอาบน้ำจึงพาลูกทั้งสามไปริมฝั่งแม่น้ำโดยอุ้ม ลูกชายคนเล็กไว้ข้างเอว ลูกชายคนกลางให้ขี่หลัง ส่วนลูกคนโตซึ่งคือนางสวาหะท่านจูงด้วยมือซ้ายเพราะเห็นว่าโตแล้ว
นาง สวาหะซึ่งรับรู้เรื่องราวทุกอย่างมาตลอดจึงบ่นขึ้นมาว่า “เชอะ…ทีลูกของคนอื่นล่ะเอาอุ้มชูให้ขี่หลัง แต่กับลูกของตัวเองแท้ๆกลับให้เดินเอาเอง
พระโคดมได้ฟังก็เกิดความ สงสัยบังคับให้นางสวาหะเล่าความจริงมาทั้งหมด เมื่อรับทราบเรื่องราวก็ได้อธิษฐานว่า “เราจะจับพวกเจ้าทั้งสามโยนทิ้งลงแม่น้ำ หากใครไม่ใช่ลูกเราก็จงกลายเป็นลิงขึ้นฝั่งเข้าป่าไป ส่วนลูกของเราก็ขอให้ว่ายน้ำกลับมาหาเรา
เมื่อกล่าวจบก็จับลูกทั้ง สามโยนลงแม่น้ำ มีเพียงนางสวาหะว่ายกลับมาได้คนเดียว ส่วนลูกชายทั้งสองกลายเป็นลิงสีเขียวและสีแดงหายลับเข้าป่าไป
พระโคดมกลับมายังอาศรมด้วยความโกรธจัดจึงสาปนางกาลอัจนากลายเป็นหินรอพระนารายณ์อวตารมาขนไปทิ้งทะเลเมื่อจะข้ามไปกรุงลงกา
นาง กาลอัจนาคิดแค้นสวาหะลูกสาวของตนที่ไม่รู้จักบุญคุณแม่จึงสาปให้ยืนตีนเดียว มือเหนี่ยวต้นไม้ อ้าปากกินลมอยู่ที่เชิงเขาจักรวาล จนกว่าจะออกลูกเป็นลิงจึงพ้นคำสาป
ฝ่าย พระอินทร์และพระอาทิตย์ซึ่งเฝ้าดูเหตุการณ์ก็นึกสงสารในชะตากรรมของลูกชาย จึงเนรมิตเมืองขีดขินให้โอรสทั้งสองได้อยู่ โดยโอรสพระอินทร์เป็นพญากากาศ (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นพาลี) ตัวสีเขียว ส่วนโอรสพระอาทิตย์นั้นได้แต่งตั้งเป็นอุปราชมีชื่อว่า สุครีพ ตัวสีแดง
เวลา ผ่านไปนานปีพระอิศวรเห็นนางสวาหะยืนอยู่ก็รู้สึกสงสารจึงแบ่งกำลังให้พระพาย ซัดเข้าปากนางสวาหะ จนนางตั้งครรภ์อยู่ 30 เดือน ก็คลอดบุตรออกมาเป็นวานรเผือกเผ่นกระโจนออกมาทางปาก มีลักษณะพิเศษคือ มีคทาเพชรเป็นสันหลัง ตรีเพชรเป็นกาย จักรแก้วเป็นศีรษะ มีเขี้ยวแก้ว หาวเป็นเดือนเป็นดาว ฤทธิ์เดชร้ายกาจ รบใครก็ชนะตลอดกาล วานรเผือกตัวนี้มีชื่อว่า หนุมาน ด้วยความซุกซนไปก่อความเดือนร้อนบนสวรรค์จึงถูกสาปว่าเมื่อต่อสู้กำลังจะลดลงครึ่งหนึ่ง และจะพ้นคำสาปต่อเมื่อพระนารายณ์มาลูบหลัง
วัน หนึ่งพระพายพ่อของหนุมานได้พาไปเข้าเฝ้าพระอิศวรบนเขาไกรลาส พระอิศวรทรงสอนคาถาแปลงกาย หายตัว และวิชาอยู่ยงคงกระพัน อีกทั้งยังประทานพรให้มีอายุยืนตลอดกาลแม้ถูกฆ่าก็ฟื้นได้เสมอ จากนั้นจึงเรียกพาลีและสุครีพมาเข้าเฝ้า แนะนำให้รู้จักกันแล้วมอบหนุมานให้พาลีนำไปเลี้ยงพร้อมกันนั้นได้มอบชมพูพานซึ่งเกิดจากเหงื่อไคลที่พระองค์ทรงชุบเนรมิตให้ไปเป็นโอรสด้วย
อยู่ มาวันหนึ่งเขาพระสุเมรุเอียงทรุดลง แล้วได้พาลีกับสุครีพมาช่วยทำให้เขาพระสุเมรุตั้งกลับสู่ดังเดิม พระอิศวรจึงประทานพรให้พาสีพร้อมตรีเพชรและให้พร “เมื่อใดที่เจ้ารบกับศัตรู ศัตรูจะกำลังลดไปครึ่งหนึ่งแล้วไปเพิ่มกำลังในตัวเจ้า ศัตรูทุกคนจะรบแพ้พาลี” นอกจากนี้ได้ฝากผอบซึ่งมีนางดาราอยู่ภายในให้นำไปฝากสุครีพด้วย แต่สุดท้ายพาลีแอบเปิดผอบกลางทางเจอนางดาราเข้าก็หลงรักทันที จึงริบนางดาราเอาไว้เป็นเมียเสียเอง
**โปรดติดตามตอนต่อไป กำเนิดนางมณโฑ**
Asd
วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น